🍃 สาระสำคัญของบทความ
ชาไทยไม่ใส่สี = เทรนด์ใหม่
เลิกใช้สีสังเคราะห์ (E110, E102) หันมาใช้ชาไทยธรรมชาติโทน “น้ำตาลตุ่น” ที่ปลอดภัยกว่าและดู artisan
กลิ่นหอมของชา = ต้องควบคุมอุณหภูมิและเวลาให้เป๊ะ
น้ำร้อน 85–90°C, แช่ชา 5 นาที, พักต่อ 10 นาที ที่ ~75°C
ห้ามใช้น้ำเดือดจัดหรือเปิดฝา = กลิ่นหาย
ห้ามล้างใบชาก่อนชง = กลิ่นหอมจะหายไปตั้งแต่ยังไม่เริ่ม
เป๊ะเรื่องปริมาณน้ำชา
ต้องได้ 120 g หลังรีด ถ้าไม่พอให้ล้างใบชาด้วยน้ำร้อน 20–30 g แล้วรีดอีกรอบ
ชาอัสสัมคั่วหอม = ทางเลือกแทนชาไทย
เพิ่มมิติกลิ่นด้วยอบเชย กระวาน วานิลลา (ใส่น้อยๆ พอหอม)
ไขมันช่วยพากลิ่นชาให้ชัดขึ้น
ใช้เบสไขมัน ~7% จะบาลานซ์ดี
ถ้าน้ำชาเยอะ อาจต้องเพิ่มน้ำตาลหรือคาราเมล 10–15 g
กลิ่นเสริมของ Miss Icecream
ใช้ ~0.1% เพื่อให้กลิ่นชาไทยหอมลึก ไม่โดนเบสกลบ
กลิ่นมีมิติหอมเพราะมีวานิลลาธรรมชาติ ไม่มีสี
📌 สรุปง่ายสุด: ชงชาไทยแบบไม่ใส่สีให้หอม ต้อง “ควบคุมอุณหภูมิและเวลา” อย่างแม่นยำ อย่าล้างใบชา และเลือกใช้เบส+กลิ่นที่ช่วยดึงกลิ่นชาให้โดดเด่นในไอศกรีม
ชาไทยในช่วงที่ผ่านมามักมีสีส้มเข้มมากๆ ซึ่งเกิดจากการเติมสีสังเคราะห์ เช่น Sunset Yellow FCF (E110) หรือ FD&C Yellow No. 5 (Tartrazine) (E102) ซึ่งเป็นสีที่ให้ความเข้มสว่างสูง แต่ปัจจุบันถูกแบนหรือจำกัดการใช้ในหลายประเทศ เช่น สหภาพยุโรป ที่มีข้อกำหนดเข้มงวดต่อสารเติมแต่งอาหารที่อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ เช่น หอบหืด ผื่นคัน หรือพฤติกรรมไฮเปอร์ในเด็ก โดยมีข้อบังคับให้แสดงคำเตือนบนฉลากอย่างชัดเจนหากมีการใช้สารเหล่านี้
แต่ล่าสุด... แบรนด์ชารายใหญ่ในประเทศไทยเริ่มหันมาผลิตชาไทยแบบไม่ผสมสี เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัย สุขภาพ และความเป็นธรรมชาติในผลิตภัณฑ์อาหาร ซึ่งถือเป็นโอกาสสำคัญในการปรับภาพจำของชาไทยจากสีส้มจัดจ้าน ไปสู่โทน "น้ำตาลตุ่นธรรมชาติ" ที่มีเอกลักษณ์ไม่แพ้กัน และเหมาะมากกับการนำมาทำเป็นไอศกรีม artisan ที่เน้นทั้งรสชาติและคุณค่าทางจริยธรรมของวัตถุดิบ
การทำไอศกรีมชาไทยให้มีกลิ่นหอมและรสชาติชัดเจน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการใช้ชาในปริมาณมากเพียงอย่างเดียว หากแต่ต้องอาศัยความเข้าใจในธรรมชาติของสารประกอบกลิ่นหอมระเหย (volatile compounds) ที่มีอยู่ในใบชา เช่น linalool, eugenol และ methyl cinnamate ซึ่งสารเหล่านี้ไวต่อความร้อนและสามารถสูญเสียได้ง่ายหากใช้อุณหภูมิสูงเกินไปหรือต้มชาเป็นเวลานานเกินความจำเป็น การควบคุมอุณหภูมิน้ำที่ใช้ชงให้อยู่ในช่วง 85–90 °C และการปล่อยให้ใบชาพักในอุณหภูมิประมาณ 75 °C หลังการชง เป็นช่วงที่เหมาะสมที่สุดในการสกัดกลิ่นโดยไม่ดึงสารฝาด (tannins) ออกมามากเกินไป นอกจากนี้ การชั่งน้ำชาอย่างแม่นยำหลังรีดจากใบชาที่กรองแล้ว ก็มีผลต่อความสม่ำเสมอในการควบคุมรส กลิ่น และสีของไอศกรีมที่ได้ ผลลัพธ์ที่ดีเกิดจากการควบคุมทุกขั้นตอนด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ เพื่อให้ได้ไอศกรีมชาไทยที่หอมชัด สีธรรมชาติ และไม่ขมเมื่อแช่แข็ง
ใบชาไทยแบบใบล้วนธรรมชาติ (ไม่ผสมสี)
หม้อต้มที่ปิดฝาได้
ตาชั่งดิจิทัล (ความละเอียด 0.1 g)
ถุงกรองชาหรือผ้าขาวบาง
เทอร์โมมิเตอร์วัดอุณหภูมิ
ไม้พายซิลิโคน ช้อน หรือคีม สำหรับกดรีด
ภาชนะสะอาดสำหรับรองน้ำชาและพักให้เย็น
ใบชาไทย: 20-25 g
น้ำร้อน 90 °C: 200 g (เพื่อให้ได้น้ำชา ~120 g หลังบีบ เพราะผ้ากรองและใบชาจะดูดน้ำไปมาก)
อุ่นน้ำให้ได้ประมาณ 90°C (ไม่ให้เดือดจัด)
อุณหภูมิที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการสกัดสารหอมจากใบชาไทยคือ 85–90 °C ซึ่งสามารถสกัดกลุ่ม volatile compounds เช่น linalool, geraniol, eugenol ได้ดี โดยไม่เร่งการสกัดสารฝาด (tannins) ซึ่งจะเริ่มเด่นชัดหากใช้น้ำเดือด (≥100 °C)
ใส่ใบชาลงในถุงกรอง ใส่ลงในน้ำร้อน ปิดฝาทันที แล้วแช่ไว้ 5 นาที
ระยะเวลาสั้นนี้จะกระตุ้นการปล่อยกลิ่นหอมหลัก โดยที่อุณหภูมิยังสูง กลิ่นจะถูกดึงออกมารวดเร็วโดยไม่เกิดการแตกสลาย และยังไม่ดึงรสขมจากสารฝาดออกมา
การปิดฝาทันทีหลังใส่ชา มีความสำคัญต่อทั้งการรักษาอุณหภูมิ (ให้นิ่งและไม่ตกเร็ว) และช่วยป้องกันไม่ให้สารกลิ่นหอมระเหย (volatile compounds) เช่น linalool, eugenol สูญเสียไปกับไอน้ำ ทำให้ได้กลิ่นชาที่สมบูรณ์และคงอยู่ได้แม้ในไอศกรีมที่แช่เย็นจัดโดยที่อุณหภูมิยังสูง กลิ่นจะถูกดึงออกมารวดเร็วโดยไม่เกิดการแตกสลาย และยังไม่ดึงรสขมจากสารฝาดออกมา
พอครบ 5 นาที ให้พักชาอีก 10 นาที โดยไม่เปิดฝา และอุณหภูมิควรอยู่ที่ ~70-75 °C
ช่วงอุณหภูมิ 70–75 °C ถือเป็น sweet spot สำหรับการปลดปล่อยสารหอมกลุ่มรอง ซึ่งมักต้องอาศัยการกระจายตัวด้วยเวลา ไม่ใช่แค่ความร้อน กลิ่นจะนุ่มลึกขึ้นโดยไม่เพิ่มรสขม
ในครัวทั่วไปสามารถควบคุมอุณหภูมิช่วงนี้ได้โดยการห่อหม้อด้วยผ้าขนหนูหนา 1–2 ชั้น หรือแช่ภาชนะลงในอ่างน้ำอุ่น (~70 °C) เพื่อชะลอการสูญเสียความร้อน และหากมีเทอร์โมมิเตอร์แบบ immersion probe จะสามารถวัดอุณหภูมิได้อย่างแม่นยำ
หากอุณหภูมิไม่ลงมา ให้จุ่มหม้อในน้ำอุ่นจัด เพื่อดึงลงสู่ช่วงเป้าหมายอย่างปลอดภัยโดยไม่ทำให้เย็นเร็วเกิน
ยกถุงชาออกแล้วกดรีดน้ำออกเบาๆ ด้วยไม้พายซิลิโคน ช้อน หรือคีมช่วยกดรีด
ชั่งน้ำชา ต้องได้ 120 g ถ้าน้อยกว่านั้นให้ทำขั้นตอนล้างชา (second infusion):
เติมน้ำร้อนใหม่ 20–30 g ที่อุณหภูมิ 90 °C
พักไว้ 30–60 วินาที ไม่แช่นาน
ช่วงเวลาสั้นนี้เพียงพอสำหรับการดึงสารหอมระเหยที่ยังค้างอยู่ในใบชาหลังการชงรอบแรก โดยไม่ดึงสารฝาด (tannins) ออกมามากเกินไป ซึ่งมักจะสกัดได้มากขึ้นหากแช่นานหรืออุณหภูมิลดต่ำลง กลิ่นที่ได้จากการล้างชาแบบนี้จะนุ่มและกลมกล่อม เสริมให้น้ำชามีมิติยิ่งขึ้นโดยไม่เสียรส
รีดน้ำรวมเข้ากับน้ำชาเดิม
พักน้ำชาให้เย็น ≤ 30 °C ก่อนนำไปเติมลงในเบสไอศกรีมที่ต้องการ
🍃 หากยังหาใบชาไทยแบบไม่ใส่สีไม่ได้ ให้เลือกใช้ ชาอัสสัม (Assam Tea) แบบใบเต็มหรือบดหยาบ 20-25 g แทน โดยควรเลือกแบบที่ไม่มีการแต่งกลิ่นหรือใส่สี และเน้นที่ผ่านการคั่วหอม (roasted) เพื่อให้ได้กลิ่นเข้มแนวชาไทย หากต้องการกลิ่นแบบโบราณมากขึ้น อาจเสริมด้วย
🍃 หรืออีกทางเลือกหนึ่ง: ใช้ ใบชาอัสสัมคั่วหอม 20-25 g + กลิ่นชาไทยของ Miss Icecream 1 g (กลิ่นนี้มีส่วนผสมวานิลาธรรมชาติ และไม่มีสีผสม) ให้เติมกลิ่นหลังจากเติมน้ำชาในมิกซ์แล้ว
แนะนำให้ใช้เบสนมลดไขมัน ที่มีไขมันประมาณ 7% — ไขมันระดับนี้ไม่เข้มจนกลบกลิ่นชาโดยที่ยังคงความข้นมันน่าทานของไอศกรีมไว้ได้พอควร โดยไขมันจะช่วยให้กลิ่นของชาไทยโดดเด่นขึ้น เนื่องจากสารหอมหลายชนิดในใบชาจะละลายได้ดีในไขมัน และไขมันยังช่วยให้มิติของความหอมเมื่อรับประทาน
แนะนำให้เติมกลิ่นชาไทยของ Miss Icecream ในอัตรา ~0.1% หากใช้สูตรไขมันปกติ — กลิ่นสูตรนี้พัฒนามาโดยเฉพาะให้หอมละมุนอย่างมีมิติ เหมือนชาไทยจริงๆ โดยจะมีส่วนผสมของวานิลลาธรรมชาติแท้อย่างดี จึงให้กลิ่นชาไทยที่ลึกซึ้ง หอมกลมกล่อม และกลบกลิ่นนมและครีมได้ดี เหมาะอย่างยิ่งกับการใช้เบสที่มีไขมันปกติ (10-12%) ซึ่งเป็นเบสที่มีความหอมของครีมหรือไขมันชัด เช่น เบสนมสูตรปกติ หรือเบสกะทิ
การเติมน้ำชา 120 g อาจทำให้ไอศกรีมหวานน้อยลงเล็กน้อย — เนื่องจากปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นโดยไม่ได้มีน้ำตาลอยู่ในชา ดังนั้นอาจพิจารณาเติมน้ำตาล น้ำเชื่อม หรือคาราเมลเพิ่มอีกเล็กน้อย (เช่น 10–15 g) เพื่อชดเชยความหวานที่หายไป โดยเฉพาะถ้าใช้เบสที่หวานพอดีอยู่แล้ว แต่หากชอบไอศกรีมที่หวานน้อย ก็อาจจะไม่จำเป็นต้องเติมน้ำตาล ส่วนการเติมเป็นคาราเมลนอกจากจะช่วยปรับความหวานแล้วก็ยังให้กลิ่นที่หอมหวานเพิ่มเติมมาอีกด้วย
ใครที่เคยดูซีรีย์ดังเรื่อง “สงครามส่งด่วน” หรือ "Mad Unicorn" อาจจะนึกถึงฉากที่ตัวละครชงชาจีนอย่างพิถีพิถัน แล้วโดนด่าว่า "ใครเขาดื่มชาน้ำแรกกัน โง่…" ซึ่งสะท้อนวัฒนธรรมการล้างใบชา (rinse infusion) ที่แพร่หลายในหมู่คนดื่มชาจีน โดยการรินน้ำร้อนใส่ใบชาแล้วเททิ้งรอบแรก จะช่วยชำระฝุ่นสิ่งสกปรกและปลุกกลิ่นชาให้ “ตื่นตัว” ก่อนชงดื่มจริง ทั้งนี้เป็นเพราะชาในวัฒนธรรมจีนนิยมใช้ใบชาที่ผ่านการหมัก (fermented หรือ semi-fermented) ซึ่งมีโครงสร้างซับซ้อนกว่า และอาจมีฝุ่นจากกระบวนการผลิต จึงเหมาะกับการล้างน้ำก่อนชง
แต่ชาไทยที่ใช้ในสูตรนี้ ไม่ใช่ชาหมัก และผ่านการอบแห้งอย่างสะอาด จึงไม่จำเป็นต้องล้างก่อน การล้างใบชาก่อนชงจะทำให้สูญเสียสารหอม (volatile compounds) ที่สำคัญตั้งแต่ก่อนเริ่มการสกัด และยังรบกวนสัดส่วนน้ำในสูตรไอศกรีมที่เราคำนวณไว้อย่างแม่นยำ
ดังนั้น พรหล้ายืนยันว่า: อย่าล้างชาไทยก่อนชงนะคะ เดี๋ยวกลิ่นดีๆ หอมๆ มันจะหายไป
พรหล้าดีใจอย่างยิ่งที่ในที่สุดเราได้เห็นแบรนด์ชาไทยระดับประเทศเริ่มเปิดตัวผลิตภัณฑ์ชาไทยที่ไม่เติมสีผสมอาหารเสียที แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ ต้องขอบคุณหลายแรงผลักดันที่ค่อยๆ ก่อตัวมาก่อนหน้า
หนึ่งในจุดเริ่มต้นสำคัญ คือคำเตือนจาก คณะสาธารณสุขศาสตร์ ม.มหิดล ร่วมกับ ศูนย์เฝ้าระวังและสนับสนุนสุขภาพแห่งชาติ (ThaiHealth) ซึ่งเผยแพร่รายงานในปี 2555 ระบุว่าเครื่องดื่มชาสีเข้มจำนวนมากในท้องตลาดอาจมีการเติมสีสังเคราะห์เกินมาตรฐาน และอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพหากบริโภคเป็นประจำ
แม้รายงานนี้จะสร้างการตระหนักรู้ในวงกว้าง แต่ในเวลานั้น คนไทยยังไม่รู้ว่าชาไทยที่ไม่มีสีสังเคราะห์ “ควรเป็นอย่างไร” เพราะภาพจำของชาไทยสีส้มเข้มยังฝังลึกอยู่ในใจผู้บริโภค แต่ก็เริ่มทำให้ชาไทยส่วนใหญ่ปรับตัว และระมัดระวังปริมาณสีที่เติมในชาให้ไม่เกินค่ามาตรฐาน
จุดเปลี่ยนสำคัญอีกประการหนึ่งเกิดขึ้นในปี 2565 เมื่อ “เชฟทักษ์” (ดร.นุติ หุตะสิงห) จากเพจ TUCK THE CHEF เริ่มเผยแพร่แนวทางการชงชาไทยจากใบชาแท้ พร้อมอธิบายกลไกทางวิทยาศาสตร์อย่างละเอียด เพื่อแสดงให้เห็นว่า กลิ่นหอมและรสละมุนของชาไทยสามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่ต้องพึ่งชาไทยปรุงสำเร็จรูป โดยได้ชาที่มีสีธรรมชาติออกโทนน้ำตาลตุ่นๆ และมีกลิ่นหอมชัดจากกระบวนการชงที่พิถีพิถัน
เทคนิคแบบ artisan ที่เชฟทักษ์นำเสนอ ได้จุดประกายให้ทั้งผู้บริโภคที่รักชาไทยแต่ใส่ใจสุขภาพ เริ่มหันมาชงดื่มเองที่บ้าน ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการรายเล็กจำนวนไม่น้อยก็เริ่มพัฒนา “ชาไทยไม่ใส่สี” ออกจำหน่ายตามมาอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ในที่สุด คนไทยก็ได้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นว่า ชาไทยสีธรรมชาติเป็นอย่างไร
จากแรงบันดาลใจเหล่านี้ ได้ก่อเกิดเป็นกระแส “ชาไทยไม่ใส่สี” ที่เริ่มต้นจากแบรนด์เล็กๆ และค่อยๆ ขยายวงกว้างจนวันนี้ กลายเป็นมาตรฐานใหม่ที่ผู้ผลิตรายใหญ่เริ่มหันมาร่วมขบวนด้วย
ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้เริ่มต้น นักทดลองสูตร หรือเจ้าของร้านไอศกรีมที่ต้องการเปลี่ยนมาใช้ใบชาไทยแบบธรรมชาติ บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจวิธีสกัดกลิ่นและควบคุมผลลัพธ์ได้อย่างมั่นใจ
หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการพัฒนาสูตรไอศกรีม
สามารถพูดคุยหรือสอบถามเราได้ที่:
📲 LINE: @missicecream
🌐 เว็บไซต์: missicecream.com
☎️ โทร: 088-205-8205
📘 Facebook: MISSiCREAM
หน้าที่เข้าชม | 1,159,504 ครั้ง |
เปิดร้าน | 25 มิ.ย. 2561 |
ร้านค้าอัพเดท | 30 ก.ย. 2568 |