สรุปสาระสำคัญของบทความ
Key Takeaways (เข้าใจภายใน 30 วินาที):
การทำไอศกรีมโฮมเมดให้ได้คุณภาพดี ต้องเข้าใจหลักวิทยาศาสตร์เบื้องหลังแต่ละขั้นตอน ไม่ใช่แค่ทำตามสูตร
ขั้นตอนสำคัญคือการ พาสเจอร์ไรส์อย่างเหมาะสม, ลดอุณหภูมิรวดเร็ว, บ่มมิกซ์, ปั่นให้เนื้อเนียน, และ แช่แข็งจนถึง -18°C อย่างรวดเร็ว
ใช้เครื่องมือพื้นฐานก็ทำได้ แต่ต้องควบคุมอุณหภูมิและเวลาให้แม่นยำเพื่อป้องกันจุลินทรีย์และรักษาเนื้อสัมผัส
จุดอ่อนของวิธีมาตรฐานคือ เนื้อสัมผัสและกลิ่นรสอาจไม่เสถียรเท่าวิธีขั้นสูง เช่น Paula's Spin Technique ที่ใช้ในคลาสของ Miss Icecream
6 ขั้นตอนหลัก
การผสมมิกซ์ (Mixing):
สร้างอิมัลชัน + ฆ่าเชื้อ (พาสเจอร์ไรส์)
ควบคุมอุณหภูมิและเวลาพาสเจอร์ไรส์อย่างแม่นยำ เช่น 85 °C 2-4 นาที หรือ LTLT 63 °C นาน 30 นาที
ใช้ blender แทน homogenizer ได้ในสเกลเล็ก
การบ่มมิกซ์ (Aging):
แช่เย็น 4 ชม. หรือข้ามคืน ให้ไขมันตกผลึก + โปรตีนสร้างเจล
เพิ่มความหนืด และช่วยให้เนื้อเนียนเมื่อปั่น
การปั่นให้ได้ไอศกรีม (Churning):
สร้างผลึกน้ำแข็งเล็กๆ + เติมอากาศ (Overrun)
ไขมันที่ตกผลึกจะช่วยจับฟองอากาศให้โครงสร้างคงตัว
การแช่แข็ง (Hardening):
ลดอุณหภูมิถึง -18 °C ภายใน 4-12 ชม. เพื่อหยุดการเติบโตของผลึกน้ำแข็ง
ป้องกันการรวมตัวเป็นผลึกใหญ่ (Recrystallization)
การเก็บรักษา (Storage):
คงอุณหภูมิ -18 °C หรือต่ำกว่าเสมอ ป้องกัน thermal cycling ที่ทำให้ผลึกโต
การตักขาย (Serving):
ควรตักเมื่อไอศกรีมอยู่ที่ -12 ถึง -15 °C เพื่อให้เนื้อนุ่มแต่ยังคงโครงสร้าง
หมายเหตุเพิ่มเติม:
บทความนี้อธิบายวิธีมาตรฐานที่มีสอนและใช้กันทั่วไป แต่หากต้องการเนื้อไอศกรีมคุณภาพเยี่ยม ควรเรียนรู้เทคนิคเสริมต่างๆ ที่พัฒนาขึ้นเพื่อให้ใช้ได้จริงกับไอศกรีมโฮมเมด
คลาสของมิสไอศกรีมออกแบบมาเพื่อให้เข้าใจวิทยาศาสตร์เบื้องหลังและแก้ปัญหาจริงในสูตร ไม่ใช่แค่ทำตามขั้นตอนมาตรฐาน
การทำไอศกรีมโฮมเมดแบบมาตรฐาน (Standard Homemade Ice Cream Method) เป็นวิธีการพื้นฐานที่ใช้กันทั่วไปในครัวเรือนและธุรกิจขนาดเล็ก เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นทำไอศกรีมเอง โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือหรือเทคนิคขั้นสูง
บทความนี้จะอธิบายขั้นตอนหลักในการทำไอศกรีมสูตรทั่วไป พร้อมคำแนะนำและเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ประกอบ เพื่อช่วยให้เข้าใจได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
แม้การทำไอศกรีมโฮมเมดจะไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์เชิงอุตสาหกรรม แต่การเตรียมอุปกรณ์พื้นฐานที่เหมาะสมจะช่วยให้การผลิตสะดวกขึ้น ควบคุมคุณภาพได้ง่าย และให้ผลลัพธ์ที่สม่ำเสมอ
หม้อหรือภาชนะสำหรับต้ม: สำหรับอุ่นของเหลวและพาสเจอร์ไรส์ส่วนผสม
เตาแก๊สหรือเตาไฟฟ้า: เพื่อให้ความร้อนแก่ส่วนผสม
ตะกร้อมือ / ไม้พาย / ช้อนคน / พายตักไอศกรีม: ใช้คน ผสม ตัก
เครื่องปั่น (Blender / Immersion Blender): สำหรับผสมและโฮโมจีไนซ์ในสเกลเล็ก
เครื่องวัดอุณหภูมิ (เทอร์โมมิเตอร์อาหาร): เพื่อตรวจสอบอุณหภูมิในระหว่างพาสเจอร์ไรส์และการลดอุณหภูมิ
เครื่องชั่งดิจิตอลละเอียดสูง (Digital Scale, ±0.1 g): สำหรับชั่งวัตถุดิบที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น สารให้ความคงตัวและอิมัลซิไฟเออร์
ภาชนะใส่น้ำแข็ง / อ่างน้ำเย็น: สำหรับลดอุณหภูมิของมิกซ์
ตู้เย็น / ตู้แช่แข็ง: สำหรับการบ่ม การแช่แข็ง และการเก็บรักษา
เครื่องทำไอศกรีม (Ice Cream Maker): สำหรับปั่นไอศกรีม หากไม่มีสามารถใช้วิธีคนด้วยมือระหว่างแช่เย็นเป็นระยะได้
สกู๊ปตักไอศกรีม: สำหรับการจัดเสิร์ฟให้ดูน่าทาน
🧪 หลักการทางวิทยาศาสตร์:
ในขั้นตอนนี้ เรากำลังสร้างระบบอิมัลชัน (emulsion) ที่ไขมัน น้ำ และของแข็งอื่นๆ จะรวมตัวกันอย่างกลมกลืน โดยอาศัยความร้อนและการกวนที่เหมาะสม รวมถึงการใช้สารทำให้คงตัว (stabilizers) และอิมัลซิไฟเออร์ (emulsifiers) เพื่อช่วยให้ไขมันไม่แยกชั้นออกมาเมื่อเย็นตัวลงอีกหน้าที่สำคัญของขั้นตอนนี้คือการ "พาสเจอร์ไรส์" (Pasteurization) หรือการให้ความร้อนในระดับที่สามารถทำลายเชื้อจุลินทรีย์ก่อโรค เช่น Salmonella, E. coli หรือ Listeria ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ทำลายคุณภาพของวัตถุดิบมากเกินไป การควบคุมอุณหภูมิและเวลาอย่างเหมาะสม จึงเป็นหัวใจสำคัญของความปลอดภัยในไอศกรีมที่ผลิตออกมา
การผสมมิกซ์แบบมาตรฐานคือวิธีการผสมและพาสเจอร์ไรส์ส่วนผสมไอศกรีมอย่างเป็นระบบ ซึ่งง่ายและสะดวกสำหรับการผลิตในสเกลเล็กโดยใช้อุปกรณ์ง่ายๆ ในครัวเรือน แม้วิธีนี้จะมีข้อด้อยในเรื่องของเนื้อสัมผัสและกลิ่นรสบางประการเมื่อเทียบกับวิธีที่พรหล้าสอนในคลาส แต่มีข้อดีสำคัญคือความปลอดภัยและสามารถควบคุมคุณภาพได้ง่าย
อุ่นของเหลว: นำของเหลวทั้งหมดที่มีในสูตร เช่น น้ำ นม กะทิ นมธัญพืช น้ำผลไม้ น้ำมัน หรือเนยขาว มาผสมให้เข้ากันเบื้องต้น อาจพบการแยกชั้นของน้ำมันและเนยขาว ซึ่งไม่เป็นปัญหาในขั้นนี้ จากนั้นอุ่นให้ได้อุณหภูมิประมาณ 50–60 °C โดยอาจเลือกวิธีต้มตรง ตุ๋น หรือใช้อุปกรณ์ทุ่นแรง เช่น หม้อต้มอัตโนมัติ หรือเครื่องพาสเจอร์ไรส์ และต้องระวังไม่ให้ส่วนผสมไหม้
คลุกผสมของแห้ง: นำของแห้งทั้งหมด เช่น สารทำให้คงตัวและอิมัลซิไฟเออร์ (S/E) น้ำตาลทราย เดกซ์โตรส อินูลิน นมผง มาคลุกแห้งให้เข้ากันก่อน เพื่อช่วยลดการจับเป็นก้อน จากนั้นค่อยๆ โรยลงในของเหลวที่อุ่นแล้ว พร้อมคนอย่างทั่วถึง
คนผสมให้เข้ากัน: ใช้ตะกร้อกวนคนด้วยมือ หรือใช้เครื่องมือเช่น Hand blender หรือ Blender คนหรือปั่นจนส่วนผสมกลายเป็นเนื้อเดียว ไม่มีตะกอนหรือก้อนตกค้าง
พาสเจอร์ไรส์ส่วนผสม:
วิธีที่นิยมในครัวเรือน (ไม่ใช่วิธีการพาสเจอร์ไรส์มาตรฐาน) สำหรับการผลิตขนาดเล็ก: ต้มหรือตุ๋นมิกซ์ให้ถึง 85 °C แล้วยกลง หรือหากผลิตเป็นปริมาณมากเช่น 3-10 kg หลังจากอุณหภูมิถึง 85 °C แล้วให้คนต่อเนื่อง 2–4 นาที ก่อนยกลง เพื่อให้ความร้อนกระจายทั่วถึง หากกลัวว่าส่วนผสมจะไหม้สามารถใช้การการตุ๋น (Bain-marie) แทนการต้ม ซึ่งจะใช้เวลานานกว่าในการให้ความร้อนถึง 85 °C เมื่อเทียบกับการต้ม แต่จะป้องกันอุณหภูมิที่สูงเกินไปโดยเฉพาะที่ผิวภาชนะซึ่งอาจจะทำให้ส่วนผสมไหม้ได้ดีกว่าการต้ม
การพาสเจอร์ไรส์แบบ LTLT (Low Temp Long Time): วิธีนี้ต้องใช้การตุ๋นมิกซ์จนได้อุณหภูมิ 63 °C แล้วคนต่อนาน 30 นาที โดยระหว่างนี้อุณหภูมิต้องไม่ต่ำกว่า 63 °C แต่ก็ไม่ควรปล่อยให้ขึ้นไปสูงมากเพื่อควบคุมกลิ่นรสวัตถุดิบ ไม่ให้เกิดกลิ่นเปลี่ยนแปลงมากนัก
การพาสเจอร์ไรส์แบบ HTST (High Temp Short Time): วิธีนี้ต้องใช้เครื่องพาสเจอร์ไรส์เช่น Plate heat exchanger (ไม่ใช่ heater ต้องเป็นเครื่องพาสเจอร์ไรส์ที่มีการ hold อุณหภูมิได้ และมีการบันทึกการทำงานของเครื่องด้วย) จะใช้อุณหภูมิ 72–75 °C นาน 15–30 วินาที เหมาะสำหรับระบบไหลต่อเนื่องแบบอุตสาหกรรม จึงไม่ใช่วิธีที่เหมาะกับการทำในครัวเรือน
โฮโมจีไนซ์ (Homogenization): วัตถุประสงค์เพื่อลดขนาดหยดไขมันให้เล็กกว่า 2 ไมครอน ด้วยเครื่อง Homogenizer แต่ในการผลิตระดับครัวเรือน เราไม่มีเครื่องแบบในอุตสาหกรรม การลดขนาดเม็ดไขมันจะไม่มีประสิทธิภาพเท่า แต่ก็ไม่ควรข้ามขั้นตอนนี้ เพื่อลดปัญหาการจับตัวกันเป็นก้อนของไขมัน หรือการกักฟองอากาศที่ไม่ละเอียดเล็กสม่ำเสมอ สำหรับการผลิตระดับครัวเรือนสามารถใช้ Blender ปั่นทีละ 1-1.5 kg ตามความจุที่ Blender สามารถปั่นได้ ปั่นให้เนียน หากผลิตในปริมาณมากเช่นตั้งแต่ 5 kg ขึ้นไป มักต้องใช้ Immersion Blender ปั่นหลายนาที
ลดอุณหภูมิมิกซ์: หลังโฮโมจีไนซ์ ลดอุณหภูมิให้ต่ำกว่า 4 °C ภายใน 20 นาที เพื่อป้องกันการเติบโตของจุลินทรีย์
🧪 หลักการทางวิทยาศาสตร์:
ช่วงเวลานี้ให้เวลาโปรตีน ไขมัน และสารทำให้คงตัวปรับโครงสร้าง เกิดการสร้างเนื้อเจลและความหนืด อ่อนๆ (protein gel network) และช่วยให้ไขมันบางส่วนตกผลึก ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญต่อเนื้อสัมผัสของไอศกรีม นอกจากนี้ การบ่มช่วยให้สารให้ความคงตัวดูดน้ำได้เต็มที่ เพิ่มความหนืด ทำให้ปั่นได้เนียนและเก็บฟองอากาศได้ดีขึ้น
นำส่วนผสมที่เย็นแล้วแช่ในตู้เย็นอย่างน้อย 4 ชั่วโมงและไม่ควรเกิน 8 ชั่วโมง เพื่อให้โปรตีน ไขมันและสารทำให้คงตัวที่ใส่ไปในไอศกรีมมีเวลาจัดโครงสร้าง ส่งผลให้เนื้อสัมผัสดีขึ้น
🧪 หลักการทางวิทยาศาสตร์:
การปั่นจะสร้างผลึกน้ำแข็งขนาดเล็ก กระจายฟองอากาศ และกระจายไขมันที่ตกผลึกในลักษณะที่สามารถจับตัวกันเป็นโครงข่ายรอบฟองอากาศได้ (fat destabilization) ช่วยให้เนื้อไอศกรีมเนียน ละเอียด และคงรูปได้ดี
เทส่วนผสมลงในเครื่องทำไอศกรีม ปั่นจนไอศกรีมเริ่มมีโครงสร้างเนื้อแน่นและอัดอากาศเข้าไป การปั่นช่วยให้ฟองอากาศเล็กๆ แทรกในเนื้อไอศกรีม ทำให้เนื้อเนียน นุ่ม และเบา และเป็นส่วนสำคัญในการจำกัดการโตของผลึกน้ำแข็ง
🧪 หลักการทางวิทยาศาสตร์:
การแช่แข็งในขั้นตอนนี้คือการทำให้น้ำที่ยังเป็นของเหลวแข็งตัวอย่างรวดเร็ว โดยเน้นลดอุณหภูมิลงไปถึง -18 °C อย่างเร็วที่สุด เพื่อให้ได้เกล็ดน้ำแข็งที่ไม่ใหญ่ และป้องกันการรวมตัวของผลึกเป็นก้อนใหญ่ (recrystallization) ซึ่งจะทำให้เนื้อสัมผัสหยาบกร้าน
ตักไอศกรีมลงภาชนะเช่นถ้วยหรือถาด แล้วนำไปแช่ช่องแช่แข็งจนไอศกรีมที่ได้มีอุณหภูมิต่ำลงไปถึง -18 °C ซึ่งตามปกติจะใช้เวลาประมาณ 4-12 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับขนาดบรรจุและวัสดุที่ใช้เป็นภาชนะ
🧪 หลักการทางวิทยาศาสตร์:
การเก็บไอศกรีมที่อุณหภูมิต่ำและคงที่ช่วยยืดอายุสินค้าและรักษาเนื้อสัมผัสไว้ เพราะการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิซ้ำ ๆ จะทำให้เกิดการละลายและกลับมาแข็งตัวใหม่ (thermal cycling) ทำให้ผลึกน้ำแข็งเติบโตและเนื้อสัมผัสหยาบ
เก็บไอศกรีมในภาชนะปิดสนิทในอุณหภูมิ -25 °C หรือต่ำกว่า เพื่อรักษาเนื้อสัมผัสและกลิ่นรสไม่ให้เปลี่ยนไป และลดการเกิดผลึกน้ำแข็งใหม่ แต่ในทางปฏิบัติ ตู้แช่แข็งฝาทึบธรรมดา อาจจะทำอุณหภูมิได้ไม่ถึง -25 °C ก็ควรพยายามอย่าให้อุณหภูมิการเก็บสูงกว่า -18 °C และไม่ควรใช้ตู้ที่มีระบบละลายน้ำแข็งอัตโนมัติ เพราะจะทำให้อายุการเก็บรักษาของไอศกรีมสั้นลงอย่างมาก
🧪 หลักการทางวิทยาศาสตร์:
ช่วงอุณหภูมิที่เหมาะแก่การตัก (-12 ถึง -15 °C) จะทำให้เนื้อไอศกรีมนุ่มพอจะสกู๊ปได้โดยไม่เสียโครงสร้าง การควบคุมอุณหภูมิแสดงสินค้าอย่างเหมาะสมช่วยให้เนื้อสัมผัสคงที่ ไม่ละลายเร็ว และลูกค้าสัมผัสได้ถึงความพรีเมียม
หากเป็นร้านค้า ให้ควบคุมอุณหภูมิของตู้แสดงสินค้าระหว่าง -12 ถึง -15 °C และควรใช้สกู๊ปตักที่แห้งและสะอาด ตักโดยไม่กดเนื้อไอศกรีมแน่นเกินไป เพื่อคงความฟูและเบาในเนื้อสัมผัส
แม้ว่าขั้นตอนการทำไอศกรีมแบบมาตรฐานจะสามารถให้ผลลัพธ์ที่ดีได้ แต่ก็ยังมีข้อจำกัดบางประการ เช่น การเปลี่ยนแปลงกลิ่นรสเมื่อโดนความร้อน การตกตะกอนของโปรตีน และการรวมตัวของไขมันที่อาจทำให้เนื้อสัมผัสไม่เนียนเท่าที่ควร หรือเสถียรภาพของอิมัลชันที่อาจยังไม่สมบูรณ์แบบ
ในคลาสของมิสไอศกรีม เราออกแบบบทเรียนเพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างตรงจุด ผู้เรียนจะได้เข้าใจเหตุผลเบื้องหลังแต่ละขั้นตอน และเรียนรู้เทคนิคหลากหลายที่อาจารย์พรหล้าพัฒนาขึ้นโดยเฉพาะ เพื่อยกระดับการทำไอศกรีมจากสูตรธรรมดาให้กลายเป็นสูตรที่สร้างความแตกต่างได้จริง ไม่ว่าคุณจะต้องการทำขายอย่างมืออาชีพ หรืออยากเข้าใจลึกซึ้งขึ้นในศาสตร์ของไอศกรีม
หากคุณอยากเปลี่ยนการทำไอศกรีมให้กลายเป็นศิลปะที่ควบคุมได้ด้วยเหตุผลและวิทยาศาสตร์ สอนโดยผู้เชี่ยวชาญ คลาสเรียนของมิสไอศกรีมพร้อมต้อนรับคุณเสมอ
แม้ว่าการทำไอศกรีมแบบมาตรฐานจะให้ผลลัพธ์ที่ดีในระดับหนึ่ง แต่หากคุณอยากยกระดับให้ไอศกรีมของคุณมีเนื้อสัมผัสที่เนียนนุ่ม กลิ่นรสที่คงเสน่ห์ และคุณภาพที่พร้อมต่อยอดสู่ไอศกรีมโฮมเมดคุณภาพเยี่ยม คลาสเรียนของมิสไอศกรีมคือคำตอบ
เราพร้อมถ่ายทอดเทคนิคที่ได้รับการวิจัยและพัฒนาโดยผู้เชี่ยวชาญของเราเพื่อการผลิตในระดับโฮมเมดที่มีข้อจำกัดเรื่องอุปกรณ์เครื่องมือและเทคโนโลยีให้ได้คุณภาพไอศกรีมที่ดีที่สุด หอม อร่อย มีจิตวิญญาณความเป็นไอศกรีมโฮมเมดในแบบที่ไอศกรีมในอุตสาหกรรมไม่สามารถเทียบได้
เรามีทีมงานที่คอยแนะนำให้คำปรึกษาหลังเรียน คุณสามารถอุ่นใจได้ว่าไม่ว่าจะมีคำถามหรือปัญหาใดๆ เกี่ยวกับการพัฒนารสชาติหรือสูตรไอศกรีมที่ได้เรียนไป จะมีคนคอยให้คำแนะนำปรึกษาเสมอ🔍 ดูรายละเอียดคลาสเรียนเพิ่มเติมได้ที่ missicecream.com
📱 สอบถามข้อมูลทาง LINE: @missicecream
📞 โทร. 088-205-8205
📘 Facebook: MISSiCREAM
หน้าที่เข้าชม | 1,156,513 ครั้ง |
เปิดร้าน | 25 มิ.ย. 2561 |
ร้านค้าอัพเดท | 15 ก.ย. 2568 |