🟡 สรุปสำหรับคนมีเวลาน้อย
“ไอติมตัด” ที่เราเห็นขายในตลาดทุกวันนี้ อาจหน้าตาคล้ายกับ “ไอศกรีมตัดโบราณ” ที่เคยขายริมรั้วโรงเรียน แต่เนื้อในไม่เหมือนกันเลย
ไอศกรีมตัดแบบดั้งเดิมมีหัวใจคือ กะทิสด + แป้งมาก + ไข่เป็ดจริง ทำให้เนื้อหนึบ ข้น มัน หอมแบบคัสตาร์ด และตัดได้เป็นแท่งโดยไม่แตก ต่างจากไอติมตัดสมัยใหม่ที่มักแค่แข็ง หวาน และใส
สมัยก่อนไข่เป็ดหาได้ง่ายเพราะเลี้ยงเป็ดกันทุกบ้าน ไข่เป็ดจึงถูกแบบได้ฟรี แต่วันนี้ไข่เป็ดแพง ต้องขึ้นราคา ทำให้ไม่มีคนซื้อ คนขายจึงเลิกผลิต เหลือเพียงความทรงจำของบางรุ่น
ถ้าอยากฟื้น ต้อง “ทำไอศกรีมคัสตาร์ด” อย่างเข้าใจ:
ใช้แป้ง 30–35 กรัม + ไข่เป็ด 3–4 ฟอง ต่อมิกซ์ 1 กก.
ให้ความร้อนแบบพาสเจอร์ไรส์ (71°C นาน 15 วินาที) เพื่อฆ่าเชื้อแต่ไม่ให้ไข่สุก
ไอติมตัดแท้ยังไม่หายไปไหน — แค่รอคนที่เข้าใจ หยิบมันกลับมาทำต่ออีกครั้ง 🍨💛
ในบทความนี้ พรหล้าขอเลือกใช้คำว่า "ไอติมตัด" แทน "ไอศกรีมตัด" โดยตั้งใจ เพราะเป็นภาษาพูดที่คนไทยคุ้นเคยและนิยมใช้จริงในชีวิตประจำวันมากกว่า แม้ว่า "ไอศกรีม" จะเป็นคำที่ถูกต้องตามหลักภาษาและทางการก็ตาม
ทุกวันนี้ เมื่อเราเดินผ่านตลาดนัด หน้าโรงเรียน งานวัด หรือแม้แต่ในซูเปอร์มาร์เก็ต เราอาจพบ "ไอติมตัด" หลากสี วางเรียงอย่างเป็นระเบียบในถังแช่แข็ง บรรจุห่อพลาสติกสำเร็จจากโรงงาน รสชาติที่พบได้บ่อยคือ นม วานิลา ช็อกโกแลต ทุเรียน สตรอว์เบอร์รี มะม่วง ตามความนิยมของแต่ละพื้นที่ แช่แข็งจนเย็นจัด ทานแล้วรู้สึกถึงเนื้อสัมผัสเบาๆ หวานๆ ออกใสๆ บางยี่ห้อมีความหนืดเล็กน้อยจากการเติมแป้ง แต่มีกะทิเพียงบางเบา ไม่ข้น ไม่มัน และไม่หอมกะทิแบบไอศกรีมกะทิทั่วไป
รูปแบบการขายมักจะตัดมาเป็นแท่งพร้อมขาย บางยี่ห้อเสียบไม้มาเรียบร้อยจากโรงงาน บางยี่ห้อไม่มีไม้เสียบ คนขายจะเป็นผู้เสียบไม้ให้หน้างาน โดยอาจวางลงบนถ้วยพลาสติกเนื้อบาง แล้วใช้ไม้เสียบทะลุผ่านถ้วยเข้าไปในเนื้อไอติมเพื่อให้ถือสะดวก หรือบางเจ้าจะใช้ถ้วยเจาะรูสวมลงไปบนแท่งไอศกรีมโดยตรง
ทั้งหมดนี้ แม้จะเรียกว่า "ไอติมตัด" และมีรูปลักษณ์คล้าย แต่ในแง่ของรสชาติ วัตถุดิบ และเทคนิคการทำ — มันคือผลิตภัณฑ์อีกประเภทหนึ่ง ที่แตกต่างจากไอศกรีมตัดโบราณอย่างสิ้นเชิง
สมัยที่พรหล้ายังเป็นเด็กอนุบาลกระโปรงแดง ทุกเย็นหลังเลิกเรียนคือเวลาทองของการทำเรื่องต้องห้ามอย่างหนึ่ง — แอบซื้อขนมนอกรั้วโรงเรียน!
ระหว่างที่รถโรงเรียนยังมาไม่ถึง และคุณครูกำลังมัวสาละวนจัดแถวเด็กตามลำดับเพื่อรอขึ้นรถ พรหล้าและเด็กๆ อีกหลายคนจะค่อยๆ เลียบรั้วโรงเรียนอย่างเงียบๆ หลบหลีกสายตาคุณครู แล้วแอบยื่นมือที่กำเหรียญห้าสิบสตางค์หรือเหรียญบาทออกไปนอกรั้ว เพื่อแลกกับขนมจากรถเข็นที่มาจอดรออย่างรู้ใจ
ช่วงเวลานั้นสั้นมาก แต่เต็มไปด้วยความรู้สึกตื่นเต้นของเด็กซน เพราะโรงเรียนมีกฎห้ามซื้อขนมจากข้างนอกอย่างเด็ดขาด แต่สำหรับเด็กๆ แล้ว มันไม่ใช่เรื่องน่ากลัว — มันคือความท้าทายประจำวัน ว่าจะ “ซื้อทันก่อนคุณครูจะมาไล่หรือไม่?”
หนึ่งในรถเข็นประจำที่เด็กๆ รอคอยที่สุด คือรถขายไอติมตัด คนขายจะค่อยๆ หยิบแท่งไอติมที่ห่อด้วยกระดาษไขขาวขุ่นแผ่นบาง ออกมาจากกล่องแช่โลหะวาววับ แล้ววางลงบนเขียงไม้เล็กๆ ก่อนจะใช้มีดแสตนเลสตัดอย่างชำนาญตามจำนวนเงินที่เด็กจ่าย — ถ้าให้ 50 สตางค์จะได้แท่งยาวประมาณ 5 เซนติเมตร ถ้าให้ 1 บาท จะได้ยาวขึ้นเป็น 10 เซนติเมตร
ไม่มีถ้วยพลาสติก ไม่มีจานรอง ไม่มีทิชชูแถม — มีแต่ทักษะเฉพาะของเด็กๆ ที่ต้องลอกกระดาษไขเองก่อนกิน และต้องกินให้เร็วพอที่จะไม่ให้น้ำไอติมละลายเลอะมือ หรือหยดลงบนเสื้อนักเรียน เพราะถ้าโดนอาม่าจับได้ว่าแอบซื้อขนมนอกรั้วโรงเรียน จะถูกอบรมเป็นภาษาแต้จิ๋วเป็นชั่วโมง 😅🥢
รสชาติและเนื้อสัมผัสของไอติมตัดในยุคนั้นแตกต่างจากของที่เรียกชื่อเดียวกันในปัจจุบันอย่างชัดเจน กลิ่นคัสตาร์ดหอมเบาๆ มาจากไข่เป็ดจริง ไม่ใช่กลิ่นแต่ง เนื้อไอศกรีมข้น หนืด และมันกว่าปกติ ความหนืดได้จากแป้งที่ใส่มากเป็นพิเศษ ส่วนไข่แดงให้ความข้นมัน พร้อมโปรตีนที่ผ่านการให้ความร้อนจนเกิดโครงสร้างใหม่ ทำให้เนื้อแน่น เนียน ตัดเป็นแท่งโดยไม่แตก แม้เริ่มละลายก็ยังไม่เยิ้ม เพราะเนื้อมีความหนืดสูงและคงรูปได้ดี
รสชาติที่มีขายไม่ได้หลากหลายเหมือนทุกวันนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นแท่งสีขาวอมเหลืองที่หลายคนเรียกว่ารสวานิลา แต่จริงๆ แล้วคือ "รสวานิลาคัสตาร์ด" — สีเหลืองนวลไม่ได้มาจากสีผสมอาหาร แต่ได้จากไข่แดงของไข่เป็ดที่เป็นส่วนประกอบหลัก ไอติมตัดบางเจ้าจะทำเป็นแท่งกลม บางเจ้าเป็นแท่งเหลี่ยม แต่ล้วนห่อด้วยกระดาษไขบางๆ
บางเจ้าจะมีรสช็อกโกแลตด้วย ซึ่งสามารถขอแบบแบ่งครึ่งแท่งได้ เช่น ตัดรสคัสตาร์ดยาว 5 ซม. และรสช็อกโกแลตอีก 5 ซม. แล้วเสียบรวมกันเป็นแท่งเดียว — เป็นความฟินสองรสชาติที่ซื้อได้ในราคาบาทเดียว
จากการรวบรวมสูตรเก่าและการทำวิจัยร่วมกับนักศึกษาหลายคน ไอศกรีมตัดแบบโบราณที่แท้จริงนั้นมีหัวใจอยู่ที่ 3 อย่าง:
กะทิสด – ให้ความหอมมันและความเป็นไทยแท้
แป้งมันหรือแป้งข้าวโพด – ใส่มากกว่าปกติ เพื่อช่วยให้เนื้อข้นและตัดได้โดยไม่แตก
ไข่เป็ด – ใช้เฉพาะไข่แดง ซึ่งช่วยเพิ่มความมัน ความข้นหนืด และกลิ่นหอมเฉพาะตัวแบบคัสตาร์ด หากใช้ไข่ไก่ ความหนืดจะน้อยกว่า และสีจะไม่เข้มสวยเท่า
การแปรรูปส่วนผสมให้กลายเป็นไอศกรีมคัสตาร์ดแบบไทยจำเป็นต้องอาศัยเทคนิคการกวนที่มีความแม่นยำสูง ทั้งด้านอุณหภูมิ เวลา และแรงกวน หากให้ความร้อนต่ำหรือเวลาสั้นเกินไป เนื้อผลิตภัณฑ์จะยังเหลว ไม่สามารถเกิดโครงสร้างคัสตาร์ดที่ข้นหนืดและคงตัวได้ ในทางกลับกัน หากให้ความร้อนสูงเกินหรือกวนเป็นเวลานานโดยขาดการควบคุมที่ดี จะเกิดการตกตะกอนของโปรตีน ส่งผลให้เกิดเนื้อสัมผัสหยาบ สากลิ้น และอาจไหม้ที่ก้นภาชนะได้หากคนไม่ทั่วถึง
หากคนผสมและให้ความร้อนอย่างพอเหมาะ จะได้ไอศกรีมที่มีเนื้อเนียน ข้นหนืดอย่างสมดุล มีความมัน หอมจากไข่แดงและกะทิ โดยยังคงมีโครงสร้างที่สามารถตัดเป็นแท่งได้โดยไม่เสียรูป — ซึ่งเป็นหัวใจของไอศกรีมตัดแบบไทยดั้งเดิม
หลังจากนั้นจะนำไปปั่นแบบไอศกรีมกะทิปกติ ก่อนเทลงพิมพ์โลหะ ทรงเหลี่ยมหรือกรงกระบอก อัดลงในน้ำแข็งคลุกกับเกลือ หรือถ้าเป็นโรงงานใหญ่ อาจจะใช้บ่อน้ำเกลือเย็นจัด (บ่อน้ำเกลือโปแตสเซี่ยม) รอให้เนื้อไอศกรีมแข็ง แล้วค่อยถอดออกจากพิมพ์โดยใช้แท่งไม้ดัน
รสชาติที่ใช้กันจริงมีเพียงไม่กี่รส และไม่ได้ใส่สีสังเคราะห์จัดจ้าน มีแค่ คัสตาร์ดไข่ กับ ช็อกโกแลต ที่หอมธรรมชาติและกลมกล่อม
นักศึกษาคนหนึ่งที่มาทำวิจัยกับพรหล้าเป็นคนอยุธยา มาจากครอบครัวใหญ่ที่อยู่ในอยุธยามาหลายชั่วคน เขาเล่าว่า ลุงของเขาเคยขายไอศกรีมตัดสูตรดั้งเดิมเมื่อนานมาแล้ว และยังจำรายละเอียดของการทำและการเลิกขายได้ดี ลุงเล่าให้ฟังว่าเหตุผลที่เลิกขายไอติมตัด ไม่ได้เกี่ยวกับยอดขายหรือความนิยมของลูกค้าเลย แต่เกิดจากปัจจัยเรื่องวัตถุดิบที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย โดยเฉพาะ "ไข่เป็ด" ที่เคยหาง่ายและแทบไม่มีต้นทุนในสมัยก่อน กลับกลายเป็นวัตถุดิบราคาแพงที่หาได้ยากขึ้นทุกทีในปัจจุบัน
ในอดีต บ้านเรือนส่วนใหญ่ในอยุธยาจะตั้งอยู่ริมน้ำ การคมนาคมหลักคือทางเรือ ไม่ใช่ถนนแบบปัจจุบัน แทบทุกบ้านมีเรือ มีสวน มีนา และมีเป็ดเลี้ยงไว้เป็นเรื่องปกติ เป็ดเหล่านี้ใช้ชีวิตอย่างอิสระ ว่ายน้ำในคลอง กินหอย กินหญ้าตามธรรมชาติ พอเย็นก็ว่ายน้ำกลับบ้านโดยไม่ต้องมีคนไล่หรือสอน
ในอดีต การทำขนมไทยมักใช้ไข่เป็ดเป็นหลัก เพราะให้กลิ่น สี และความมันที่ดีกว่าไข่ไก่ ไอศกรีมตัดก็เช่นกัน — ไข่เป็ดคือหัวใจของสูตร แต่ไม่เคยถูกนับเป็นต้นทุนเลย เพราะแทบทุกบ้านเลี้ยงเป็ดไว้ตามธรรมชาติ เป็ดจะวางไข่ตามคันนา เดินออกจากบ้านไม่กี่ก้าวก็เก็บไข่ได้หลายฟอง ไข่เป็ดในสมัยนั้นไม่ได้วางขายทั่วไป เพราะเป็นของที่ทุกบ้านมีอยู่แล้ว คนจึงมองว่าเป็นของที่ “หาได้ฟรี” จากหลังบ้าน ไม่ได้ถูกจัดเป็นวัตถุดิบมีราคาในเชิงพาณิชย์เหมือนในปัจจุบัน
แต่ปัจจุบัน เป็ดหายไปจากริมคลอง วิถีการเลี้ยงแบบนั้นเลือนหายตามการเปลี่ยนแปลงของเมืองและชีวิตคน ไข่เป็ดกลายเป็นของหายาก มีราคาสูงกว่าไข่ไก่ ทำให้ต้นทุนในการผลิตไอติมตัดสูตรดั้งเดิมสูงขึ้นมาก ขณะเดียวกัน ผู้บริโภคกลับไม่ตระหนักถึงความแตกต่างด้านราคาวัตถุดิบและกระบวนการ เพราะมองเพียงผิวเผินว่า “ไอติมตัดก็แค่ไอศกรีมกะทิ"
ผู้ผลิตจำนวนมากจึงค่อยๆ หันหลังให้ไอติมตัดสูตรดั้งเดิม และหันมาทำไอติมกะทิแบบธรรมดาแทน เพราะมีต้นทุนต่ำกว่า กระบวนการผลิตก็ง่ายและรวดเร็วกว่า โดยไม่ต้องพึ่งพาไข่เป็ดหรือเทคนิคการกวนที่ซับซ้อนเหมือนไอศกรีมคัสตาร์ด
คำว่า "ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว" สะท้อนภาพความอุดมสมบูรณ์ของไทยในอดีตได้ชัดเจน อดีตอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยท่านหนึ่งเคยเล่าเรื่องคุณยายของท่านให้พรหล้าฟังว่า สมัยยังสาวคุณยายของท่านอาศัยอยู่ในบ้านริมแม่น้ำเจ้าพระยาทางฝั่งพระนคร ซึ่งในแต่ละวันจะนุ่งกระโจมอกลงไปอาบน้ำในแม่น้ำ โดยก่อนลงน้ำต้องใช้ขันตีน้ำแรงๆ หลายครั้ง เพื่อไล่กุ้งแม่น้ำ เพราะถ้าไม่ทำเช่นนั้น กุ้งแม่น้ำตัวใหญ่เท่าแขนหลายตัวว่ายมาตอดจนน่ารำคาญ
พรหล้าเคยคุยกับเจ้าของโรงงานไอศกรีมกะทิท่านหนึ่งซึ่งมาเรียนทำไอศกรีมกับพรหล้าเพื่อเพิ่มพูนความรู้เชิงวิทยาศาสตร์ เขาเล่าว่าโรงงานของครอบครัวเคยผลิตไอติมตัดมาตั้งแต่รุ่นคุณพ่อ แต่ในที่สุดต้องเลิกทำ เพราะต้นทุนของไข่เป็ดที่สูงขึ้นมากเกินรับไหว
วันที่คุณพ่อประกาศเลิกทำไอติมตัด คนที่ดีใจที่สุดกลับไม่ใช่ใครอื่น — แต่เป็นตัวเขาเอง เพราะเขาเป็นลูกชายคนเดียว ดังนั้นทุกครั้งที่ต้องทำไอติมตัด หน้าที่ในการใช้ไม้ดันไอติมออกจากพิมพ์หลังแช่แข็งจะตกเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งต้องออกแรงมาก ใช้เวลา และเจอกับความเย็นระดับกัดมือทุกครั้งที่ทำ ความทรงจำนั้นทำให้เขาไม่อยากหันกลับไปผลิตไอติมตัดอีกเลย ถึงแม้ทุกวันนี้จะกลายเป็นของที่หาซื้อได้ยากมากและมีลูกค้าเก่าๆ ถามหาก็ตาม
ถ้าใครคิดจะนำไอศกรีมตัดสูตรดั้งเดิมกลับมา ต้องเข้าใจก่อนว่า มันไม่ใช่ของหวานราคาถูก และไม่อาจเทียบเท่าได้กับไอติมกะทิทั่วไป
มันคือ artisan custard ice cream ที่ต้องการวัตถุดิบเฉพาะ ขั้นตอนเฉพาะ และ “ความเข้าใจ” จากทั้งคนทำและคนกิน ต้องใช้ไข่แดงจากไข่เป็ด สดใหม่คุณภาพดี แป้งในปริมาณเหมาะสม กวนให้สุกจนได้เนื้อที่แน่น ข้น แต่ยังคงละลายได้ในปาก
นี่คือไอศกรีมที่ควรกลับมาในฐานะ "ของมีเรื่องเล่า" มากกว่าจะพยายามสู้ราคากับไอติมกะทิ 20 บาท
สูตรการทำไม่ยากสำหรับคนที่เคยทำไอติมกะทิอยู่แล้ว ใช้สูตรไอติมกะทิที่ชอบ เติมแป้งมันหรือแป้งข้าวโพดกวนสุกลงไป เยอะกว่าการทำไอติมกะทิปกติหน่อย อัตราส่วนที่แนะนำ คือ 30–35 g และเพิ่มไข่แดงจากไข่เป็ด 3–4 ฟอง ต่อมิกซ์ 1 kg ตั้งไฟ ให้ความร้อน คนจนเนื้อข้นหนืดเป็นคัสตาร์ด ลดความร้อน แล้วกรองก่อน นำไปบ่มและปั่น หากต้องการให้หยอดลงพิมพ์ง่าย อาจจะหยุดปั่นตอนที่ไอติมยังค่อนข้างเหลว แทนที่จะปั่นให้แห้งแบบไอศกรีมกะทิปกติ
หลังปั่นเสร็จเทลงพิมพ์แล้วค่อยนำไปแช่แข็ง โดยปกติชาวบ้านจะห่อกระดาษไขหลังจากแกะออกจากพิมพ์ หากกรุกระดาษไขในพิมพ์ก่อนเติมไอติม อาจจะได้เนื้อไอติมที่ผิวไม่เรียบ เป็นรอยย่นยู่ตามเนื้อกระดาษไข
ไอศกรีมตัดแบบโบราณ ไม่ได้หายไปเพราะคนไม่กิน แต่มันหายไปเพราะ ความเข้าใจในคุณค่าของมันเลือนหายไปพร้อมกับวิถีชีวิตเดิม
เมื่อไข่เป็ดกลายเป็นของหายาก วิถีริมน้ำกลายเป็นอดีต และไอติมตัดกลายเป็นของที่หน้าตาคล้ายแต่เนื้อในไม่เหมือนเดิม — สิ่งล้ำค่าที่ควรได้รับการสืบทอดจึงเหลืออยู่แค่ในความทรงจำของคนบางรุ่น
แต่ถ้าเรายังจำมันได้ เข้าใจมัน และเลือกจะรักษาความตั้งใจของคนทำดั้งเดิม — ไอศกรีมตัดสูตรแท้ก็อาจหวนคืนสู่โลกใบนี้ในฐานะของหวานที่มีชีวิต มีที่มา และมีคุณค่า
ถ้าใครอ่านบทความนี้แล้วลองทำไอติมตัดดู อย่าลืมส่งภาพหรือเล่าเรื่องราวมาให้พรหล้าด้วยนะคะ จะได้ช่วยกันเก็บรักษาความทรงจำ และยืนยันว่า “ของแท้ดั้งเดิม” ไม่ได้หายไปไหน — แค่รอคนที่เข้าใจหยิบมันกลับมาทำต่อเท่านั้นเอง
พอเล่าจบ พรหล้าก็นึกขึ้นได้ว่า ยังมีประเด็นสำคัญเรื่องความปลอดภัยที่ต้องเล่าเสริม โดยเฉพาะเมื่อเราต้องใช้ไข่เป็ดสดในการทำไอศกรีมคัสตาร์ด — นั่นคือการป้องกันเชื้อ Salmonella ที่อาจปนเปื้อนมากับไข่ดิบ ดังนั้นขอเล่าเพิ่มอีกหัวข้อแบบจริงจังในเชิงวิชาการนะคะ
เชื้อ Salmonella spp. เป็นเชื้อแบคทีเรียก่อโรคที่อาจปนเปื้อนในไข่ดิบ โดยเฉพาะบริเวณเปลือกและบางครั้งอาจอยู่ในไข่ขาวหรือไข่แดงเอง หากบริโภคโดยไม่ผ่านกระบวนการให้ความร้อนที่เหมาะสม อาจก่อให้เกิดอาการอาหารเป็นพิษรุนแรง โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำ
ในกระบวนการทำไอศกรีมคัสตาร์ดที่ใช้ไข่ดิบเป็นส่วนประกอบหลัก จึงจำเป็นต้องมีขั้นตอนการให้ความร้อน (pasteurization) อย่างถูกต้อง เพื่อยับยั้งเชื้อดังกล่าวโดยไม่ทำให้ไข่สุกเป็นก้อน
ตามแนวทางของ USDA และมาตรฐานการผลิตอาหาร:
อุ่นส่วนผสม (ที่ประกอบด้วยไข่ น้ำตาล และของเหลวอื่น ๆ) ให้ถึง 71.1 °C และ รักษาอุณหภูมินั้นไว้อย่างน้อย 15 วินาที
หรือใช้ทางเลือกที่อ่อนกว่า:
69 °C นาน 45 วินาที
66 °C นาน 3 นาที
60 °C นาน 10 นาที
อุณหภูมิในช่วง 70–72 °C เป็นจุดที่ปลอดภัยสูงสุดและยังคงรักษาเนื้อคัสตาร์ดให้เนียนนุ่มได้ หากกวนต่อเนื่องและควบคุมอุณหภูมิอย่างแม่นยำ
เริ่มด้วยการตีไข่แดงกับน้ำตาลให้เข้ากันก่อน
ค่อยๆ เทของเหลวอุ่น (เช่น กะทิหรือนม) ลงในไข่เพื่อ “tempering” — ปรับอุณหภูมิไข่ให้ใกล้ของเหลว ก่อนนำไปรวมกันบนเตา
กวนส่วนผสมอย่างสม่ำเสมอขณะให้ความร้อน เพื่อกระจายความร้อนให้ทั่วถึง
ใช้เทอร์โมมิเตอร์สำหรับอาหารเพื่อตรวจสอบอุณหภูมิแบบเรียลไทม์
เมื่อถึงอุณหภูมิที่ต้องการแล้ว ให้ กรองทันที เพื่อลดโอกาสเกิดการรวมตัวของไข่สุกหรือเศษเนื้อหยาบ
ใช้ ไข่พาสเจอร์ไรส์แบบเหลว ถึงแม้จะยังไม่มีไข่เป็ดพาสเจอร์ไรส์ขายในไทย แต่ใช้ไข่ไก่พาสเจอร์ไรส์ก็ได้หากเน้นความปลอดภัย แต่เนื้อสัมผัสและกลิ่นรสอาจจะต่างออกไปจากการใช้ไข่เป็ดแบบดั้งเดิม
หากทำตามวิธีนี้ ไอศกรีมคัสตาร์ดจะปลอดภัยจากเชื้อจุลินทรีย์ก่อโรคโดยไม่กระทบต่อรสชาติหรือเนื้อสัมผัสของผลิตภัณฑ์
สนใจอยากเรียนทำไอศกรีมกะทิ และอื่นๆ ขอข้อมูลเพิ่มเติมหรือปรึกษาทีมงานมิสไอศกรีมได้นะคะ
📲 LINE: @missicecream
📞 โทร 088-205-8205
🌐 www.missicecream.com
หน้าที่เข้าชม | 1,161,055 ครั้ง |
เปิดร้าน | 25 มิ.ย. 2561 |
ร้านค้าอัพเดท | 8 ต.ค. 2568 |