สรุปบทความแบบสั้นๆ : ทำความเข้าใจ “Gelato” และ “Ice Cream” กันใหม่
คำว่า ‘Gelato’ ก็คือ ‘Ice Cream’ นั่นแหละ แค่เรียกเป็นภาษาอิตาเลี่ยนเท่านั้นเอง แต่...
สิ่งที่คนไทยส่วนใหญ่เรียกว่า “เจลาโต้” ควรเรียกให้ถูกต้องว่า Artisan Gelato หรือ “ไอศกรีมปราณีต” ที่เน้นวัตถุดิบแท้ ทำสด ปั่นเนียน ฟองอากาศเล็กละเอียด กลิ่นรสชัดเป็นธรรมชาติ แค่นี้ก็จะได้ไม่งง สับสนกันอีกต่อไป
ความเข้าใจที่พบบ่อย เช่น “อาร์ติซานเจลาโต้หนืดกว่า ไขมันต่ำกว่า ฟูน้อยกว่า” — ไม่ผิด แต่ก็จริงแค่บางกรณี เพราะขึ้นกับอุณหภูมิ รสชาติ และเครื่องปั่น โดยไม่ใช่ข้อบังคับตายตัว
ผลิตภัณฑ์ “Gelato” มักจะไม่มีนิยามทางกฎหมายชัดเจน แต่จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ต้องเรียกว่า "ไอศกรีม" ตามกฎหมายอาหารของแต่ละประเทศ (เพราะมันคือไอศกรีม)
ถ้าอยากกินอาร์ติซานเจลาโต้คุณภาพดี: ดูวัตถุดิบ กลิ่นรส ไม่ปลอม และควรทำใหม่สด ไม่แช่เก็บไว้นาน
🍦 อย่าตัดสินเจลาโต้จากชื่อเรียก แต่ให้ดูที่ “ความตั้งใจของผู้ผลิต” และ “คุณภาพที่คุณสัมผัสได้จริง”
(เมื่อเราเห็นว่าเจลาโต้ไม่ใช่ชื่อเรียกของ “สิ่งที่ไม่ใช่ไอศกรีม" ที่มีความเหนียวหนืด ไขมันน้อย อากาศน้อยกว่า อย่างที่หลายคนเข้าใจกันอยู่!)
ในยุคที่คนทานเจลาโต้แล้วเกิดสงสัยว่ามันต่างกับไอศกรีมยังไง ก็มักจะเสิร์ช Google เพื่อหาคำตอบ... และผลลัพธ์ที่เจอมักทำให้คนไทยจำนวนไม่น้อยเข้าใจว่า “เจลาโต้” กับ “ไอศกรีม” คือของคนละโลก — ฝั่งหนึ่งหรู พรีเมียม ละมุน เนื้อแน่น อากาศน้อย ไขมันต่ำ ส่วนอีกฝั่งคือไอศกรีมธรรมดาๆ เนื้อฟู เบา เหมือนโฟม ไขมันสูง หนืดน้อย…
แต่ความจริงมันไม่ใช่อย่างนั้นเลย!!!
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญที่คลุกคลีกับไอศกรีมระดับ Artisan มาเกิน 25 ปี วันนี้มิสไอศกรีมอยากชวนคุณมา "ทบทวนใหม่" — ว่าสิ่งที่หลายคนเข้าใจว่าเป็น “เจลาโต้” แต่ไม่ใช่ “ไอศกรีม” นั้น จริงๆ แล้วคืออะไร? มาดูคำตอบที่อิงหลักวิทยาศาสตร์ และสะท้อนความจริงจากกระบวนการผลิตอย่างตรงไปตรงมา
บทความนี้จะไขข้อข้องใจถึงแก่นแท้ของ Gelato และ Ice Cream รวมถึงปัจจัยที่ทำให้ไอศกรีมแต่ละชนิดมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
เบอร์นาร์โด บวนตาเลนติ (Bernardo Buontalenti) คือศิลปินอัจฉริยะจากยุคเรอเนซองส์ ที่เป็นบุคคลสำคัญที่ทำให้เจลาโต้กลายเป็นศิลปะการทำของหวานในราชสำนักอิตาลี เขาคือผู้ที่มักถูกยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งไอศกรีมแบบสมัยใหม่” (Father of Modern Gelato) โดยในช่วงปลายศตวรรษที่ 16 เขาได้รังสรรค์ของหวานแช่แข็งที่ทำจากนม น้ำผึ้ง ไข่ และปรุงรสด้วยมะกรูดและส้ม เพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายแด่ดยุกแห่งเมดีชี ซึ่งสร้างความประทับใจอย่างมากในราชสำนัก
ฟรานเชสโก โปรโกปิโอ เด คอลเตลลิ (Francesco Procopio dei Coltelli): เชฟชาวซิซิลี คือบุคคลที่ทำให้เจลาโต้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง เขาย้ายไปยังกรุงปารีสและเปิดร้านกาแฟชื่อ "Le Procope" ในปี ค.ศ. 1686 ที่นี่เขาได้เสิร์ฟเจลาโต้ให้กับสาธารณชนเป็นครั้งแรก ทำให้เจลาโต้กลายเป็นของหวานที่นิยมในหมู่ชนชั้นสูงของฝรั่งเศสและแพร่หลายไปทั่วยุโรป
แคทเธอรีน เดอ เมดีชี (Catherine de' Medici): มีตำนานเล่าว่าเมื่อเธออภิเษกสมรสกับพระเจ้าอองรีที่ 2 แห่งฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1533 เธอนำเชฟชาวอิตาลีไปยังฝรั่งเศสด้วย และได้เผยแพร่ "ซอร์เบตโต" (Sorbetto) หรือเชอร์เบท ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของหวานแช่แข็งในราชสำนักฝรั่งเศส อย่างไรก็ตาม เรื่องราวนี้ยังเป็นที่ถกเถียงในหมู่นักประวัติศาสตร์
Gelato จึงถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีรากเหง้าผูกพันอยู่ในวัฒนธรรมอาหารของทั้งอิตาลีและฝรั่งเศสอย่างลึกซึ้ง
Gelato คือคำว่า “ไอศกรีม” ในภาษาอิตาเลียน
Ice Cream คือคำว่า “เจลาโต้” ในภาษาอังกฤษ
ที่อิตาลี ถ้าเดินไปซื้อไอศกรีมที่ตู้ไอศกรีมวอลล์ เค้าก็เขียนว่า “Gelato” เหมือนกัน! ไม่ใช่เพราะวอลล์ที่อิตาลี่ไม่เหมือนวอลล์ในไทย ไม่ใช่เพราะเขาจะมีเนื้อหนืดยืด ฟูน้อย หรือไขมันต่ำ แต่แค่… วอลล์ก็คือไอศกรีม และไอศกรีมที่อิตาลี่เรียกเจลาโต้ (ที่อิตาลี่บริษัทยูนิลีเวอร์เจ้าของแบรนด์วอลล์ จะใช้ชื่อแบรนด์ว่า Algida แทนชื่อ Wall’s ที่ใช้ในอีกหลายๆ ประเทศรวมถึงไทย)
ภาพประกอบด้านล่างนี้ แสดงให้เห็นว่าในภาษาอิตาเลี่ยน เขาจะเรียกไอศกรีมแมกนั่มว่าเจลาโต้ เป็นเรื่องปกติ เพราะเจลาโต้ก็คือไอศกรีม!
ข้อเท็จจริง: สิ่งที่คนไทยนึกว่าเป็น “Gelato” แท้จริงคือ Artisan Gelato หรือ ไอศกรีมปราณีต (Craft Ice Cream) ที่ผลิตอย่างตั้งใจ ใช้วัตถุดิบดี และมีคุณภาพสูง
ไอศกรีมปราณีต (Artisan Gelato) มาจากคุณภาพของวัตถุดิบ คุณภาพของกระบวนการผลิต และ ความใส่ใจในทุกขั้นตอนของผู้ผลิต :
กลิ่นรสหลักมาจากวัตถุดิบจริง เช่น วานิลลาแท้ ผลไม้สด ช็อกโกแลตจริง ที่มีคุณภาพดี
ไม่ใช้ “กลิ่นสังเคราะห์" หรือ "เติมสีผสมอาหาร” เป็นตัวเอก
ได้จาก เครื่องปั่นดี และการควบคุมอุณหภูมิทุกขั้นตอนอย่างพิถีพิถัน (Blast Freezer, ตู้แช่ตักคุณภาพสูง)
เครื่องปั่นไอศกรีมแบบ Batch Freezer ที่ใช้ในการผลิต Artisan Gelato จะปั่นจนได้อุณหภูมิต่ำมาก เช่น -9 °C ซึ่งช่วยให้เนื้อไอศกรีมเริ่มแข็งตัวในขณะปั่น ทำให้ฟองอากาศที่แทรกอยู่มีขนาดเล็กลง เนียนละเอียด และคงตัวดีคล้ายวิปครีมที่ตีอย่างประณีต
ต่างจากเครื่องจักรแบบ Continuous Freezer ในอุตสาหกรรม ที่มักปล่อยไอศกรีมออกมาที่อุณหภูมิประมาณ 4 °C ขณะยังเหลวอยู่มาก เพื่อให้สามารถบรรจุลงภาชนะและขนส่งได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้ฟองอากาศที่แทรกอยู่ยังคงมีขนาดใหญ่ และเมื่อผ่านกระบวนการแช่แข็งภายหลังจึงทำให้เนื้อสัมผัสหยาบกว่าชัดเจน
Artisan Gelato มักเสิร์ฟภายใน 1–3 วันหลังทำ เพื่อให้กลิ่นรสสดใหม่สุด
📌 หมายเหตุ:
Overrun = ปริมาณอากาศที่แทรกในเนื้อไอศกรีมระหว่างการปั่น คิดเป็น % ของปริมาตรที่เพิ่มขึ้น
Artisan = แปลว่างานฝีมือ หรือ Craft นั่นเอง เป็นการทำอาหารหรืองานประดิษฐ์ด้วยมือหรือกระบวนการเล็กๆ โดยใส่ใจคุณภาพ มากกว่าการผลิตจำนวนมากแบบอุตสาหกรรม
Fior di Latte = รสนมสดแบบเรียบง่าย ไม่เติมกลิ่น ไม่ใส่วานิลลา นิยมในอิตาลีเพื่อชูรสนมแท้ (อันนี้อยู่ข้างล่างไปอีกนิด)
✅ ความจริง: ความหนืดยืดเกิดจากอุณหภูมิตอนเสิร์ฟ ไม่ใช่เพราะใส่สารอะไรมากเป็นพิเศษ
Artisan Gelato เสิร์ฟที่ -12 ถึง -14 °C จึงดูหนืดยืดกว่าไอศกรีมที่เสิร์ฟที่ -18 °C
✅ ความจริง: ไขมันต่ำจริงในรสทั่วไป เช่น Fior di Latte (รสนม), Strawberry
แต่รส Pistachio และ Chocolate เข้มข้น อาจมีไขมันเกิน 10% ได้เช่นกัน
ในทางกลับกัน ไอศกรีมกะทิแบบชาวบ้านๆ ก็มีไขมันต่ำกว่า 10% โดยส่วนใหญ่ ดังนั้น % ไขมันไม่ใช่เกณฑ์ที่ใช้แยกประเภทได้เสมอ
✅ ความจริง: เป็นเรื่องของชนิดเครื่องปั่นและวิธีการผลิตมากกว่า
ประเภทไอศกรีม | ค่า Overrun โดยประมาณ |
---|---|
Artisan Gelato | 20–35% |
Ice Cream พรีเมียม | 30–50% |
ไอศกรีมอุตสาหกรรมทั่วไป | 80–100% |
ย้ำอีกครั้งว่า Overrun ต่ำไม่ได้แปลว่า “ดีกว่า” เสมอไป แต่เป็นเรื่องของ ชนิดของเครื่องปั่นที่ใช้ผลิต (เครื่องในอุตสาหกรรมจะเติมอากาศได้มากกว่า เครื่องปั่นไอศกรีมที่ใช้ในการผลิต batch เล็ก เติมอากาศได้น้อย) และ เป้าหมายของการผลิต ที่แตกต่างกัน
ลองจินตนาการไอศกรีมที่มีครบทั้ง 3 คุณสมบัติข้างต้น: หนืดเพราะใส่สารคงตัวมาก ไขมันต่ำจนเนื้อใสเพราะใช้ครีมน้อย และฟูน้อยเพราะปั่นด้วยเครื่องประสิทธิภาพต่ำ เติมอากาศได้น้อย ปั่นเสร็จยังเปียกอยู่แล้วเอาไปแช่ ทำให้เกิดเกล็ดน้ำแข็งขนาดใหญ่เต็มไปหมด
แม้ไอศกรีมนี้จะดู “เข้าข่าย” อาร์ติซานเจลาโต้ในความเข้าใจของใครหลายคน แต่เมื่อพิจารณาตามหลักของคุณภาพโดยรวมและเจตนาของผู้ผลิต — คุณยังเรียกมันว่า Artisan Gelato ได้อยู่ไหม?
คำว่า “Ice Cream” มีข้อกำหนดตามกฎหมาย: ต้องมีไขมันจากนมอย่างน้อย 10%
ส่วนคำว่า “Gelato” ไม่ใช่นิยามทางกฎหมาย — เป็นคำที่ใช้ในเชิงการตลาด จึงมีความยืดหยุ่นมากกว่า
ดังนั้นเจลาโต้ที่ขายในอเมริกาสามารถมีไขมันน้อยกว่า 10% ได้ และไม่ต้องปฏิบัติตามข้อบังคับของ Ice Cream เต็มรูปแบบ
ยังไม่มีข้อกำหนดระดับสหภาพยุโรปที่นิยามคำว่า “Gelato” อย่างชัดเจนเหมือนในสหรัฐอเมริกา
อย่างไรก็ตาม บางประเทศสมาชิก เช่น อิตาลี มีแนวทางหรือมาตรฐานระดับท้องถิ่นเกี่ยวกับ “Gelato Artigianale” ที่ให้ความสำคัญกับวัตถุดิบและกรรมวิธีแบบดั้งเดิม
โดยทั่วไป คำว่า “Gelato” ในยุโรปมักใช้ในบริบทของวัฒนธรรม ความนิยม และภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ มากกว่าจะมีการควบคุมทางกฎหมายเฉพาะเจาะจง
สรุป: ในระดับสากล “Gelato” ยังถือเป็นคำที่ไม่มีข้อบังคับตายตัว และผู้ผลิตสามารถใช้คำนี้เพื่อสื่อถึงสไตล์หรือคุณภาพได้หลากหลาย ขึ้นอยู่กับเจตนาการสื่อสาร
เมื่อมีคนถามว่า “เจลาโต้กับไอศกรีมต่างกันยังไง?” พรหล้าแนะนำให้ตอบว่า:
“จริงๆ แล้ว Gelato ก็คือคำว่า Ice Cream ในภาษาอิตาเลียน แต่ที่คุณรู้สึกว่า "เจลาโต้" ดีกว่า นั่นเพราะมันคือไอศกรีมที่ทำอย่างประณีต ใช้วัตถุดิบดีๆ ทำสด กลิ่นรสจากของจริง — เราเรียกแบบนั้นว่า "Artisan Gelato" ค่ะ ซึ่งต่างจากไอศกรีมหรือเจลาโต้ทั่วไปตรงคุณภาพโดยรวมของวัตถุดิบ กระบวนการผลิต และความใส่ใจ”
เวลาจะเลือกซื้อไอศกรีม หรือเจลาโต้ที่ดี พิจารณาง่ายๆ ดังนี้:
✅ ดูวัตถุดิบ ควรมีส่วนผสมที่เป็นของสดเป็นหลัก (อ่านฉลาก หรือสอบถามพนักงาน)
✅ ถ้ารสมะม่วง แต่ไม่มี “มะม่วง” อยู่ในส่วนผสม หรือมีอยู่นิดเดียว — ก็น่าคิด
✅ รสชาติต้องไม่หลอกลิ้น ไม่แปลกปลอม ไม่จัดจนเกินธรรมชาติ
✅ ร้านที่ทำใหม่ๆ turnover สูง ไอศกรีมไม่แช่นานจนกลิ่นหาย
🍦 ถ้าอยากมั่นใจว่ากำลังกิน Artisan Gelato ของแท้: ต้องดูที่ “ความตั้งใจ” ของผู้ผลิต มากกว่าคำว่า Gelato หรือ Ice Cream บนป้ายร้าน!
คำว่า Gelato เป็นคำเอกพจน์ในภาษาอิตาเลียน ส่วน Gelati คือรูปพหูพจน์ (เช่น "3 scoops of gelati")
คนยุโรป โดยเฉพาะชาวอิตาเลียน นิยมทานเจลาโต้ได้ตลอดทั้งวัน ไม่จำกัดเฉพาะช่วงบ่ายหรือหลังอาหาร บางคนทานแทนมื้อกลางวันได้เลย! ต่างจากคนไทยที่มักมองว่า “ไอศกรีมต้องทานตอนบ่ายหรือเป็นแค่ของหวานตบท้ายมื้อ” เท่านั้น
Pistachio คือหนึ่งในรสชาติที่ชาวอิตาเลียนยกให้เป็นรสที่ “พิสูจน์ฝีมือคนทำ” หากร้านไหนทำรสนี้ได้เข้มข้น กลมกล่อม ไม่ใส่กลิ่นแต่ง — มักจะได้ใจลูกค้าทันที
คนอิตาเลียนมักจะสั่งเจลาโต้ใส่โคนหรือถ้วยกระดาษเล็กๆ พร้อมท็อปปิ้งด้วยวิปครีมสด (Panna) บีบเป็นเกรียวยอดแหลม โดยเฉพาะเมื่อเลือกรสที่หวานจัดหรือรสที่มีความเปรี้ยว เช่น รสผลไม้บางชนิด
แม้ pairing ระหว่างครีมกับผลไม้จะดูขัดตาสำหรับบางวัฒนธรรม แต่สำหรับชาวอิตาเลียน วิปครีมไม่ได้ใส่เพื่อเพิ่มความหวาน แต่เพื่อเสริมสัมผัสนุ่มละมุน กลิ่นนม และความหอมมันให้กลมกล่อมขึ้น โดยเฉพาะกับเจลาโต้สไตล์อิตาเลียนที่มักมีไขมันต่ำและเนื้อค่อนข้างเบา
ต่างจากในไทย ที่มักพบวิปครีมในไอศกรีมถ้วยแบบซันเดย์ที่เน้นการตกแต่งหลายรสในถ้วยใสหรือถ้วยแฟนซี ไม่ค่อยนิยมบีบลงบนโคนหรือถ้วยกระดาษเรียบๆ แบบฝั่งอิตาลี
ร้าน Gelateria ในอิตาลี แม้จะมีการแข่งขันกันสูงในเรื่องคุณภาพและความสวยงามของการตกแต่ง แต่ก็มีบางร้านที่ยึดแนวทางแบบคลาสสิก โดยเลือกใช้ถังเจลาโต้แบบฝาปิดเรียบที่เรียกว่า pozzetti (มาจากคำว่า “pot” หรือหม้อ) ถังแบบนี้ช่วยรักษาอุณหภูมิให้สม่ำเสมอ ทำให้เนื้อเจลาโต้ไม่ละลายไว ตักได้เนื้อสวยกำลังดี และยังช่วยป้องกันการสูญเสียกลิ่นหอมของวัตถุดิบ รวมถึงลดปัญหาการดูดซับกลิ่นรบกวนจากรสอื่นๆ ภายในตู้เดียวกัน
Gelato ในอิตาลีมักเสิร์ฟในถ้วยเล็กหรือโคนไซซ์เล็กๆ เสิร์ฟเร็ว ราคาไม่แพง เพื่อให้เข้าถึงง่ายและกินได้ทุกวัน ไม่ใช่ของหวานพิเศษเฉพาะวันหยุด
คนอิตาเลียนนิยมใช้ Spatula (ไม้พายแบน) ในการเสิร์ฟเจลาโต้ เพราะสามารถตักได้เร็ว และไม่ต้องคอยล้างอุปกรณ์บ่อยๆ จึงเหมาะกับการเสิร์ฟต่อเนื่องในร้านเจลาโต้ที่มีลูกค้าเข้าออกตลอดเวลา แต่ไม่ได้หมายความว่าเจลาโต้ “ห้าม” ใช้ Scoop เสมอไป — ใน Gelateria หลายแห่งในอิตาลีก็มี Scoop สำหรับตักไอศกรีมแบบลูกกลมเก็บไว้ด้วย โดยมักใช้กับเมนูเฉพาะ เช่น เสิร์ฟในโคนแบบคลาสสิก หรือเมนูของหวานที่ต้องการความกลมเป๊ะของรูปร่างของไอศกรีม
เวลาเสิร์ฟ gelato หลายรสพร้อมกัน คนอิตาเลียนจะเลือก “รสที่ไปด้วยกันได้” เช่น Pistachio + Nocciola (เฮเซลนัท) หรือ Lemon + Strawberry มากกว่าเลือกมั่วตามสีหรือเลือกให้หลากหลายแตกต่าง
หมายเหตุ: ในฝรั่งเศส ไอศกรีมไม่ได้เรียกว่า “เจลาโต้” เหมือนในอิตาลี แต่ใช้คำว่า glace (กลาส) ซึ่งหมายถึงไอศกรีมโดยทั่วไป
ดังนั้นในหัวข้อนี้ พรหล้าจะใช้คำว่า “ไอศกรีม” แทนคำว่า “เจลาโต้” เพราะดูเหมาะสมกว่าเรียกทับศัพท์ภาษาอิตาเลี่ยนเมื่อพูดถึงไอศกรีมในประเทศฝรั่งเศสนะคะ
คำว่า “ไอศกรีม” ในภาษาฝรั่งเศสคือ glace (ออกเสียงว่า กลา แล้วตามด้วย ส แบบสั้นๆ) หากต้องการสื่อถึงไอศกรีมที่ทำอย่างประณีตด้วยวิธีดั้งเดิม จะใช้คำว่า glace artisanale (ไอศกรีมปราณีต) หรือ glace maison (ไอศกรีมโฮมเมด) คำว่า “Gelato” มักปรากฏในฝรั่งเศสเฉพาะร้านที่มีรากหรือแรงบันดาลใจจากอิตาลี เช่น ร้านที่เจ้าของเป็นชาวอิตาเลียน หรือเลือกนำเสนอผลิตภัณฑ์ในสไตล์อิตาเลียนโดยตรง
ร้านไอศกรีมในฝรั่งเศสมักนิยมเสิร์ฟไอศกรีมในโคน โดยจะตักไอศกรีมวางบนโคนเป็นทรงดอกไม้ ด้วยการใช้ไม้พายตักไอศกรีมจากถาดขึ้นมาเป็นแผ่น แล้วเรียงซ้อนกันเป็นกลีบคล้ายดอกกุหลาบ ซึ่งกลายเป็นซิกเนเจอร์ของหลายร้านในฝรั่งเศส — แม้บางร้านพนักงานจะยังฝึกไม่ชำนาญ ดอกไม้ที่ได้อาจดูเบี้ยวๆ ออกเป็นดอกไม้แนวอาร์ตๆ หรือออกแนวปิกัสโซ่บ้าง แต่ก็มีเสน่ห์เฉพาะตัว และลูกค้าก็ให้อภัยได้ถ้ารสชาติดี 😄
ความนิยมในการเสิร์ฟเป็นรูปดอกไม้ยังส่งผลให้สูตรไอศกรีมที่ใช้ในฝรั่งเศสมักมีเนื้อสัมผัสที่ ฟู แห้ง และแข็งกว่าที่พบทั่วไปในอิตาลี่ เพื่อให้สามารถปาดขึ้นมาเป็นแผ่นบางๆ ได้ง่าย ไม่ละลายเร็ว และคงรูปร่างเป็นกลีบสวยงามบนโคน
คนฝรั่งเศส นิยมรสผลไม้ โดยเฉพาะรสที่สดชื่น เช่น มะม่วง สตรอว์เบอร์รี ราสป์เบอร์รี มะนาว และพีช มากกว่ารสที่หนักและมันอย่างช็อกโกแลตหรือถั่ว French Sorbet มีความแตกต่างจาก Sorbet ทั่วไปชัดเจน (เดี๋ยวเขียนบทความให้อีกอันนะคะ เรื่องนี้ก็เล่าได้ยาวเหมือนกัน)
เจลาโต้ที่ขายในฝรั่งเศสโดยเฉลี่ยจะ หวานน้อยกว่า ที่อิตาลี สะท้อนจากรสนิยมของชาวฝรั่งเศสที่ชอบความบาลานซ์และความเป็นธรรมชาติ
ฝรั่งเศสมีวัฒนธรรมการกินของหวานที่ ละเมียดและให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ มาก จึงมักพบไอศกรีมที่ตกแต่งสวยหรือมี topping ที่คัดสรรมาอย่างดี เช่น ใบมินต์สด ผลไม้สดหรือแม้แต่กลีบดอกไม้กินได้
ไอศกรีมในฝรั่งเศสมักปรากฏอยู่ในเมนูของร้านอาหารบรรยากาศดีๆ หรือ pâtisserie (ร้านขนมฝรั่งเศส) ไม่ใช่แค่ร้านริมถนนเพียงอย่างเดียว
ครีมสดจากฝรั่งเศสมีชื่อเสียงเรื่องความหอมมันและเนื้อเนียนละเอียด เมื่อนำมาใช้ทำไอศกรีมจึงให้รสสัมผัสที่ละมุนและกลิ่นรสที่โดดเด่น ใครมีโอกาสไปฝรั่งเศสควรลองชิมไอศกรีมสไตล์ฝรั่งเศสดูสักครั้ง เพราะไอศกรีมสไตล์ฝรั่งเศสมักมีรสหวานน้อยกว่าของอิตาลี น่าจะถูกลิ้นคนไทยมากกว่า
มิสไอศกรีม เรา
“เต็มที่ทุกคลาส ดูแลทุกคน ใส่ใจทุกคำ”สนใจเรียนทำ Artisan Gelato
สามารถดูรายละเอียดคลาสเรียนของมิสไอศกรีมได้ที่: missicecream.com/p/2
หน้าที่เข้าชม | 1,162,606 ครั้ง |
เปิดร้าน | 25 มิ.ย. 2561 |
ร้านค้าอัพเดท | 16 ต.ค. 2568 |