สรุปสาระสำคัญของบทความ
🎯 Soft Serve ราคา 8 บาท ไม่ได้ขายไอศกรีม แต่ขาย “พฤติกรรมลูกค้า”
มันคือเหยื่อล่อให้เดินเข้าร้าน แล้วขายของอย่างอื่นแทน
⚔️ ร้านเล็กไม่ต้องแข่งราคา — แข่งด้วย “ตัวตน” และ “ความใส่ใจ”
สิ่งที่แบรนด์ใหญ่ไม่มีคือความอบอุ่น รสชาติเฉพาะตัว และความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน
🧊 ไอศกรีมกำลังถูกลดคุณค่าทางใจ
เมื่อทุกอย่างเร็วและถูก ลูกค้าเริ่มลืมว่าไอศกรีมเคย “พิเศษ” แค่ไหน
🔑 ทางรอดของร้านเล็ก:
ใช้รสชาติและวัตถุดิบที่มีเรื่องเล่า
ทำเมนูที่ตลาดแมสไม่กล้าทำ
บอกให้ลูกค้ารู้ว่าของเราดี เพราะอะไร
อย่าพยายาม "ถูกที่สุด"
แต่จงเป็นร้านที่ "ดีที่สุดในใจลูกค้า"
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตลาดไอศกรีม Soft Serve ในประเทศไทยได้กลายเป็นเวทีแข่งขันที่ร้อนแรง โดยมีผู้เล่นรายใหญ่ลงสนามพร้อมอาวุธสำคัญคือ “ราคา” ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์จากจีนที่นำเข้าเทคโนโลยีและวัตถุดิบต้นทุนต่ำ หรือแบรนด์ไทยที่มีเครือข่ายร้านค้าปลีกและร้านสะดวกซื้อ ใช้ Soft Serve เป็นกลยุทธ์ดึงลูกค้าเข้าร้าน ไม่ใช่เพื่อขายไอศกรีม แต่เพื่อเพิ่มยอดขายสินค้าอื่น ๆ
กระแสดังกล่าวส่งแรงกระเพื่อมไปยังผู้ประกอบการรายย่อยอย่างเลี่ยงไม่ได้ บางท่านเริ่มตั้งคำถามว่า “ถ้าราคาต้องถูกขนาดนี้ แล้วเราจะขายอะไร จะอยู่รอดได้อย่างไร?”
แต่อย่าลืมว่า เกมที่กำลังแข่งอยู่ ไม่ได้มีสนามเดียว และชัยชนะก็ไม่ได้วัดกันที่ราคาเสมอไป หากคุณเข้าใจจุดแข็งของตัวเอง มุ่งมั่นในคุณค่า และกล้าสื่อสารสิ่งนั้นอย่างจริงใจ คุณก็สามารถสร้างเส้นทางของตัวเองที่ยั่งยืนและแตกต่างได้เสมอ
ในยุคที่ Soft Serve กลายเป็นของหวานที่พบเห็นได้ทั่วไป ไม่ว่าจะในร้านสะดวกซื้อ ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ หรือร้านฟาสต์ฟู้ดชื่อดัง — ราคาโคนละ 8-15 บาท กลายเป็นภาพจำใหม่ของผู้บริโภคโดยไม่รู้ตัว
แต่สำหรับผู้ประกอบการรายย่อย ร้านไอศกรีมที่ทำทุกลูกด้วยความตั้งใจ ลงทุนในวัตถุดิบ และใส่ใจในทุกขั้นตอน นี่อาจไม่ใช่ราคาที่ “เป็นธรรม” เท่าไหร่นัก
Soft Serve โคนละ 8-15 บาทมักไม่ได้เกิดขึ้นเพราะอยากขายไอศกรีมอย่างเดียว แต่มักถูกใช้เป็น “ตัวล่อ” หรือ "Traffic Magnet" โดยผู้เล่นรายใหญ่ในตลาด เช่น:
ร้านค้าปลีกที่มีสาขาทั่วประเทศมักใช้ไอศกรีมราคาต่ำเพื่อล่อให้ลูกค้าเดินเข้าร้าน แล้วหวังยอดขายจากสินค้าหลักที่มีกำไรสูงกว่า เช่น ของใช้ประจำบ้านหรืออาหารแช่แข็ง
บางร้านใช้ Soft Serve เป็นเมนูปิดท้าย ช่วยเพิ่มมูลค่าบิลต่อหัว ทำให้รู้สึกว่า “ได้ของหวานครบเซต” โดยที่ต้นทุนยังคงคุมได้ด้วยระบบการผลิตที่มี Economy of Scale
หลายแบรนด์ต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีน ใช้ Soft Serve เป็น topping หรือเมนูเสริมในเครื่องดื่ม เพื่อสร้างภาพลักษณ์สนุก หวาน และเข้าถึงง่ายในกลุ่มวัยรุ่น
หากคุณเป็นผู้ประกอบการร้านไอศกรีมที่ตั้งใจทำสูตรเอง ใช้วัตถุดิบดี หรือผลิตด้วยมือ การจะขายในราคา 8-15 บาทแบบเดียวกันนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ — และก็ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นเลยด้วยซ้ำ
ถ้าคุณไม่ขาย 8-15 บาท แล้วคุณขายอะไร?
คุณต้องขาย “ความใส่ใจ” ที่อยู่ในทุกขั้นตอน คุณขาย “ความต่าง” ที่หาไม่ได้จากไลน์ผลิตอัตโนมัติ และคุณขาย “ตัวตน” ที่ชัดเจน ว่าคุณคือใคร และทำไมลูกค้าจึงควรกลับมาอีกครั้ง
Soft Serve ราคา 8-15 บาท อาจเป็นของหวานที่ทุกคนกินได้ แต่ไอศกรีมของคุณ... อาจเป็นรสชาติที่ใครบางคนจำไม่ลืมก็ได้
Soft Serve ไม่ใช่แค่ของหวานเย็น ๆ แต่มันคือประสบการณ์ คือรสชาติ คือความรู้สึกดีที่ลูกค้าจดจำได้ ผู้ประกอบการรายย่อยยังมีพื้นที่และพลังที่แตกต่าง ซึ่งแบรนด์ใหญ่ไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ง่าย ๆ
แบรนด์เล็กสามารถเลือกใช้วัตถุดิบที่มีเอกลักษณ์ เช่น วานิลลาธรรมชาติ มัทฉะเกรดพรีเมียม ผลไม้ท้องถิ่นตามฤดูกาล หรือแม้แต่รสชาติแบบไทย ๆ ที่เข้ากับวัฒนธรรมและความทรงจำของผู้บริโภค
คนยุคนี้ไม่ได้ซื้อเพราะแค่ "ของอร่อย" แต่ซื้อเพราะ "ของที่มีเรื่องราว" ร้านเล็กสามารถใช้ Storytelling ได้ทรงพลังมาก เช่น รสชาติที่ได้แรงบันดาลใจจากท้องถิ่น
คุณคือเจ้าของร้านที่พูดคุยกับลูกค้าได้ แนะนำเมนูพิเศษได้ จำชื่อเด็ก ๆ ที่มาอุดหนุนทุกวันได้ สิ่งเหล่านี้สร้างสายสัมพันธ์ที่เงินหรือโปรโมชั่นไม่สามารถซื้อได้
ไอศกรีม Plant-Based, ไอศกรีมสำหรับคนแพ้นม, สูตรน้ำตาลต่ำ หรือสูตรที่เน้นสุขภาพ กลุ่มลูกค้าเฉพาะเหล่านี้ยินดีจ่าย ถ้าได้ของที่ตอบโจทย์เขาจริง ๆ
ราคาที่สูงกว่าต้องอธิบายได้ เช่น วัตถุดิบดีกว่า ทำสดทุกวัน หรือไม่มีสารเจือปน เมื่อลูกค้าเข้าใจ เขาจะพร้อมจ่าย เพราะรู้ว่าสิ่งที่ได้คุ้มค่า
เมื่อแบรนด์ใหญ่ลดราคาจนต่ำกว่าทุน พวกเขาไม่ได้ต้องการขายไอศกรีม แต่ต้องการให้ลูกค้าเดินเข้าร้าน ซื้ออย่างอื่นเพิ่มเติม สำหรับร้านเล็ก เราไม่จำเป็นต้องเอาตัวเองไปอยู่ในสมรภูมิเดียวกัน แต่สามารถใช้โอกาสนี้ปรับตัว ตอกย้ำจุดแข็ง และสร้างฐานลูกค้าที่ภักดีในระยะยาว
อย่าลืมว่า... ลูกค้าที่กลับมาซื้อซ้ำ ไม่ใช่เพราะของคุณถูกที่สุด แต่เพราะเขารู้สึกว่า "ของคุณดีที่สุด...สำหรับเขา"
แม้ร้าน hard pack จะดูเหมือนอยู่คนละกลุ่มเป้าหมายกับ soft serve ราคาประหยัด แต่เมื่อภาพจำของผู้บริโภคเริ่มเปลี่ยนไปว่าสินค้าจำพวกไอศกรีมควรราคาถูกหรือเป็นของแถม ก็อาจส่งผลกระทบทางอ้อมได้เช่นกัน เช่น
ลูกค้าเริ่มใช้ราคา soft serve เป็นมาตรฐาน ทำให้รู้สึกว่าไอศกรีม hard pack ราคา 59–89 บาทต่อลูกนั้น "แพงเกินไป"
ไอศกรีมถูกลดคุณค่าทางจิตใจ กลายเป็นสินค้าธรรมดาที่ไม่ต้องคิดเยอะเวลาจะซื้อ
ความเร็วในการเสิร์ฟของ soft serve ทำให้ลูกค้าคุ้นชินกับการได้ของเร็วทันใจ ซึ่งอาจทำให้รู้สึกว่าการรอสคูป hard pack เป็นสิ่งที่เสียเวลา
ร้านอาหารหรือคาเฟ่ที่เคยสั่ง hard pack ไปเสิร์ฟ อาจหันไปใช้ soft serve เพราะเป็นกระแส หรือง่ายในการเสิร์ฟมากกว่า
สิ่งเหล่านี้อาจทำให้ยอดขายของร้าน hard pack สะดุด แม้คุณภาพจะไม่ได้ลดลงเลยก็ตาม
ในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว ผู้บริโภคเริ่มระมัดระวังในการใช้จ่าย ร้านอาหารและเครื่องดื่มที่เคยเน้นประสบการณ์จึงถูกบีบให้ปรับตัว โดยเฉพาะร้านเล็กที่ไม่มีต้นทุนการตลาดมากเท่าเชนใหญ่ แต่ในทางกลับกัน กลุ่มลูกค้าที่มีสติในการเลือกมากขึ้น ก็เริ่มกลับมาให้ความสำคัญกับ 'คุณภาพ' และ 'ความจริงใจ' มากกว่าแค่ราคา
ดังนั้น ร้าน hard pack ที่อยากยืนอยู่ได้ท่ามกลางสถานการณ์นี้ ควรมองให้ลึกกว่าแค่เรื่องของรสชาติและเมนูพิเศษ:
วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าในพื้นที่ของคุณให้เฉียบคม: เช่น ย่านนักเรียนควรมีเมนูเข้าถึงง่าย เสิร์ฟเร็ว ส่วนย่านคนทำงานอาจเน้นคุณภาพ premium และการตกแต่งที่ถ่ายรูปสวย
สร้าง Positioning ให้ชัดเจนในแบบที่ Soft Serve เลียนแบบไม่ได้: เช่น “ไอศกรีมจากวัตถุดิบท้องถิ่นแท้ 100%” หรือ “ไอศกรีมสูตรสดใหม่ ไม่ใช้ผงสำเร็จรูป”
ใช้ Soft Serve เป็นคู่แข่งหรือเป็นเพื่อนได้: ลองมองว่าแทนที่จะแข่งกับ soft serve อาจเปิดรับร่วมมือ เช่น ทำ pop-up เมนู soft serve ชั่วคราว อาจจะใช้เครื่อง hard pack ปั่นแต่เสิร์ฟสดจากเครื่องให้นุ่ม ๆ เหมือน soft serve แต่ใส่ลายเซ็นคุณภาพของร้านลงไปในซอสหรือ topping ก็ได้
อย่าหยุดเล่าเรื่องคุณค่า แม้จะดูซ้ำซาก: เพราะในภาวะที่ทุกอย่างเน้นไวและถูก การมีแบรนด์ที่ยืนอยู่บนหลักการชัดเจน กลับยิ่งน่าจดจำ
จับตาสัญญาณเชิงเศรษฐกิจในพื้นที่: เช่น ถ้าย่านที่คุณอยู่มีโครงการรถไฟฟ้าหรือการปรับปรุงเมือง ให้ใช้จังหวะนี้ปรับร้านหรือสร้างกิจกรรมเพิ่มการรับรู้ เช่น "มุมไอศกรีมของคนรอรถ" หรือ "เมนูใหม่ประจำฤดูฝุ่น!"
การรักษาความจริงใจ ความใส่ใจ และคุณภาพอย่างต่อเนื่อง จะไม่ใช่แค่เกราะคุ้มกัน แต่เป็นเครื่องมือสร้างแบรนด์ในวันที่แบรนด์ใหญ่เริ่มคล้ายกันไปหมด
ตลาดอาจเต็มไปด้วยผู้เล่นใหม่ ราคาใหม่ และสูตรลัดมากมาย — แต่นั่นคือสัญญาณของโอกาส ไม่ใช่อุปสรรค
ในวันที่ทุกอย่างดูง่ายและเร็ว ร้านเล็กที่กล้าลงลึกในคุณภาพ รสชาติ และแนวคิดที่ชัดเจน กลับยิ่งโดดเด่นและน่าจดจำ
ตอนนี้คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการยกระดับธุรกิจไอศกรีมให้เป็นมากกว่าของหวาน — ให้เป็นแบรนด์ที่ลูกค้ารู้สึกถึงความต่าง และเลือกกลับมาหาเพราะเห็นคุณค่า
ตลาดยังว่างสำหรับคนที่ไม่ตามกระแส แต่กล้าสร้างคลื่นใหม่ด้วยสิ่งที่เชื่อมั่นจริง
ขอคำแนะนำ สนใจคลาสเรียนทำไอศกรีม ติดต่อเราได้ที่:
LINE: https://lin.ee/650LPNL หรือ ID: @missicecream
โทร: 088-205-8205
Facebook: MISSiCREAM
ดูรายละเอียดคลาสเรียนและบริการเพิ่มเติมได้ที่: https://missicecream.com
หน้าที่เข้าชม | 1,154,549 ครั้ง |
เปิดร้าน | 25 มิ.ย. 2561 |
ร้านค้าอัพเดท | 5 ก.ย. 2568 |