สรุปสาระสำคัญของบทความ (สำหรับคนไม่มีเวลา)
✅ แก่นสำคัญที่ต้องรู้ :
วิธีคั้นกะทิหลักมี 2 แบบ:
มือ (โฮมเมด): ขูดมะพร้าวแล้วนวดกับน้ำอุ่น คั้นแยก “หัวกะทิ” (ไขมันสูง) กับ “หางกะทิ” (ไขมันต่ำ)
เครื่องคั้นแบบเกลียว: ใส่มะพร้าว+น้ำลงเครื่อง รีดอัตโนมัติ ได้กะทิที่มันและเสถียรกว่าแบบมือ
คุณภาพกะทิเปลี่ยนตามฤดูกาล:
หน้าแล้ง (ม.ค.–เม.ย.): ไขมันสูงสุด
ต้นฝน (พ.ค.–ส.ค.): ไขมันลดลงเล็กน้อย
ปลายฝน–หนาว (ก.ย.–ธ.ค.): ไขมันต่ำสุด
วิธี “ปรับสัดส่วนน้ำ” ให้กะทิคงที่ตลอดปี:
หน้าแล้ง → เติมน้ำเพิ่มนิด เพื่อลดความมัน
ปลายฝน → ลดน้ำลง เพื่อเพิ่มความเข้มข้น
ใช้สูตรปรับตามฤดู ช่วยให้ไม่ต้องเปลี่ยนสูตรไอศกรีมบ่อย
ปัจจัยอื่นที่ส่งผลต่อคุณภาพกะทิ:
อายุและพันธุ์ของมะพร้าว
แหล่งเพาะปลูก (ภาคกลางมักมันกว่าใต้)
อุณหภูมิน้ำ (อุ่นเกินไปจะรีดไขมันไม่ดี)
แรงคั้น และความสดของเนื้อมะพร้าว
🎯 สาระที่ “ควรเก็บกลับบ้าน”:
คั้นกะทิให้เสถียร ไม่ใช่แค่เรื่องสูตร แต่คือ “ศิลปะ+วิทยาศาสตร์” ที่ต้องปรับตามฤดูกาล เครื่องมือ และวัตถุดิบ เพื่อให้ได้กะทิที่มีไขมันและเนื้อสัมผัสเหมาะกับการทำไอศกรีมระดับมืออาชีพตลอดปี ไม่มันเกิน ไม่ใสเกิน และไม่ต้องเปลี่ยนสูตรหลักให้วุ่นวาย
🥥❄️ ในโลกของของหวานจากทั่วทุกมุมโลก
มีไอศกรีมแบบหนึ่งที่ไม่เหมือนใคร…
ไม่มีนม ไม่มีไข่ ไม่มีวานิลลาแท้ราคาแพง
แต่กลับมีเสน่ห์จนคนกินจำได้ขึ้นใจนั่นคือ ไอศกรีมกะทิของไทย
รสชาติที่เรียบง่าย แต่แฝงด้วยความละเมียดละไม
กลิ่นหอมอ่อนๆ ของกะทิสด
ความมันนุ่มที่มาจากธรรมชาติ
และความภูมิใจที่บอกกับใครได้เต็มปากว่า“นี่คือภูมิปัญญาอาหารของแผ่นดินเรา”
กะทิที่ใช้ทำไอศกรีมนั้น ไม่ใช่แค่ “วัตถุดิบ”
แต่มันคือหัวใจ…
หัวใจที่เปราะบางต่อฤดูกาล ฝน-แล้ง
ต่อสายพันธุ์ ต่อแหล่งเพาะปลูก
แม้กระทั่งอุณหภูมิของน้ำที่ใช้คั้น
ล้วนส่งผลต่อเนื้อไอศกรีมโดยตรงเพื่อให้ไอศกรีมของคุณคงความอร่อย ไม่ว่าจะหน้าฝนหรือหน้าแล้ง Miss Icecream จึงอยากแบ่งปันความรู้ และเทคนิคการคั้นกะทิแบบมืออาชีพ ทั้งด้วยมือและเครื่อง พร้อมแนวทางปรับสูตรที่เข้าใจง่าย เพื่อให้คุณสามารถผลิตไอศกรีมกะทิที่มีคุณภาพใกล้เคียงกันได้ตลอดทั้งปี
อันที่จริง นี่ไม่ใช่แค่เทคนิค
แต่มันคือความพยายามในการรักษา “มรดกแห่งรสชาติ”
ให้ส่งต่อจากรุ่นหนึ่ง… สู่รุ่นต่อไปอย่างสง่างาม
การคั้นกะทิสดแบบโฮมเมดโดยทั่วไปมีอยู่ 2 วิธีหลักที่นิยม:
1. คั้นด้วยมือแบบดั้งเดิม
เป็นวิธีการขูดมะพร้าวทึนทึกแล้วนำมานวดด้วยน้ำอุ่น โดยใช้อัตราส่วนมะพร้าวขูด 500 กรัม ต่อน้ำอุ่น 400-500 กรัม ที่อุณหภูมิประมาณ 35-40 °C จากนั้นคั้นรอบแรกเพื่อให้ได้หัวกะทิ (ไขมันสูงสุด) โดยบีบผ่านผ้าขาวบาง น้ำที่ได้จากรอบแรกจะถูกแยกเก็บต่างหาก ส่วนกากที่เหลือสามารถเติมน้ำอีกประมาณ 300-350 กรัม แล้วคั้นรอบที่สองเพื่อให้ได้หางกะทิ (ไขมันต่ำกว่า) แต่ถ้าเป็นสูตรของ อ.พรหล้า จะใช้แค่ส่วนหัวกะทิในการทำไอศกรีมเพื่อให้ได้เนื้อสัมผัสที่เข้มข้นและมันเนียน
ผลต่อองค์ประกอบกะทิ:
เมื่อใช้อัตราส่วนมะพร้าวขูดต่อน้ำอุ่น 1:1 (500:500 g) และคั้นด้วยมือรอบแรก โดยจะได้กะทิที่คั้นแล้วประมาณ ประมาณ 600–700 g ขึ้นอยู่กับแรงบีบและคุณภาพของมะพร้าว
ปริมาณไขมันโดยทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 16–20%
ปริมาณน้ำโดยทั่วไปอยู่ที่ 55–60%
ปริมาณของแข็งรวมประมาณ 40–45%
หากใช้น้ำในปริมาณน้อยลง เช่น 500:300 g และใช้มะพร้าวแก่จัด อาจได้ไขมันสูงถึง 22–26% โดยมีปริมาณน้ำลดลงเหลือประมาณ 50–55% และของแข็งรวมเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 45–50%
หากรวมหัวกะทิและหางกะทิเข้าด้วยกันในอัตราส่วนใกล้เคียงกัน (เช่น หัว:หาง = 1:1) ปริมาณไขมันรวมที่ได้จะอยู่ที่ประมาณ 10–14% ปริมาณน้ำรวมประมาณ 65–70% และของแข็งรวมประมาณ 25–30% ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวิธีคั้นและอัตราส่วนน้ำที่ใช้ในแต่ละรอบ โดยกะทิที่ได้จะมีความเข้มข้นปานกลาง เหมาะกับการใช้ในสูตรที่ต้องการความสมดุลระหว่างความมันและความเบา
2. คั้นด้วยเครื่องคั้นกะทิแบบเกลียวหรือเครื่องคั้นน้ำผลไม้ความเร็วต่ำ
นำมะพร้าวทึนทึกขูดผสมกับน้ำอุ่นในอัตราส่วนประมาณ 500:400 g ที่อุณหภูมิประมาณ 40–45°C แล้วใส่ลงในเครื่องคั้นแบบเกลียว ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ผลิตในปริมาณมาก เครื่องจะช่วยแยกน้ำกะทิออกจากกากโดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องกรองด้วยผ้าขาวบาง
ผลต่อองค์ประกอบกะทิ:
ปริมาณไขมันโดยทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 20–24% เมื่อใช้อัตราส่วนมะพร้าวขูดต่อน้ำประมาณ 500:400 g และใช้เครื่องคั้นกะทิแบบเกลียว ซึ่งสามารถรีดน้ำมันออกจากเนื้อมะพร้าวได้ดีพอสมควร โดยทั่วไปจะได้กะทิที่คั้นแล้วหนักประมาณ 650–750 g ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแรงอัดและความสดของมะพร้าว ทั้งนี้ค่าที่ได้อาจผันแปรขึ้นอยู่กับอายุของมะพร้าวและแรงอัดของเครื่อง โดยอาจสูงกว่านี้หากใช้น้ำในปริมาณที่ต่ำกว่านี้
ปริมาณน้ำประมาณ 60-65%
ปริมาณของแข็งรวมประมาณ 35-40%
กะทิสดมีคุณภาพและองค์ประกอบที่แตกต่างกันตามช่วงเวลาเนื่องจากสภาพอากาศและฤดูการเก็บเกี่ยว:
เดือนมกราคม - เมษายน (ฤดูแล้ง)
กะทิมีไขมันสูง (ประมาณ 30–32%) มีความข้นมันดี เนื่องจากมะพร้าวได้รับแสงแดดที่เพียงพอ
เดือนพฤษภาคม - สิงหาคม (ต้นฤดูฝน)
ไขมันลดลงเล็กน้อย (ประมาณ 27–29%) ความข้นลดลงเนื่องจากปริมาณน้ำในเนื้อมะพร้าวเพิ่มขึ้นจากความชื้นที่สูงขึ้น
เดือนกันยายน - ธันวาคม (ปลายฤดูฝนถึงต้นฤดูหนาว)
ไขมันต่ำสุด (ประมาณ 24–27%) กะทิมีความบางและน้ำเยอะกว่าช่วงอื่นเนื่องจากการสะสมน้ำในเนื้อมะพร้าวจากปริมาณฝน
หมายเหตุ: ค่าปริมาณไขมัน 24–32% ในส่วนนี้ เป็นค่าประมาณที่แสดงแนวโน้มคุณภาพของกะทิตามฤดู ซึ่งอาจได้จากการคั้นโดยใช้น้ำน้อยมากหรือไม่เติมเลย ต่างจากค่าที่คำนวณในสูตรคั้นทั่วไปที่มักใช้น้ำในสัดส่วน 500:300–500 g
เพื่อให้กะทิที่ได้จากการคั้นมีคุณภาพสม่ำเสมอเหมาะกับการทำไอศกรีมตลอดปี ผู้ผลิตไอศกรีมสามารถปรับอัตราส่วนของมะพร้าวขูดและน้ำตามฤดูกาล โดยคำนึงถึงปริมาณไขมันที่เปลี่ยนแปลงตามช่วงเวลาและแหล่งปลูก วิธีนี้ช่วยหลีกเลี่ยงปัญหาเนื้อสัมผัสที่เปลี่ยนไป เช่น กะทิใส มันเกินไป และยังช่วยลดความยุ่งยากในการปรับสูตรไอศกรีมหลักบ่อยครั้ง
1. สำหรับการคั้นด้วยมือ
ฤดูแล้ง (ไขมันสูง): ใช้อัตราส่วนมะพร้าวต่อน้ำ 1:1.1 ถึง 1:1.2 (เช่น 500 g : 550–600 g) เพื่อเจือจางไขมันลงให้ใกล้ระดับมาตรฐาน ลดความเสี่ยงที่ไอศกรีมจะมันเกินไปหรือแยกชั้นไขมัน
ต้นฤดูฝน (ไขมันปานกลาง): ใช้อัตราส่วน 1:1.0 ถึง 1:1.1 (เช่น 500 g : 500–550 g) เพื่อควบคุมความเข้มข้นของกะทิให้อยู่ในช่วงที่เหมาะสม โดยยังคงความมันและเนื้อสัมผัสที่ดี
ปลายฤดูฝน (ไขมันต่ำ): ใช้อัตราส่วน 1:0.8 ถึง 1:0.9 (เช่น 500 g : 400–450 g) เพื่อเพิ่มความเข้มข้นและไขมันในกะทิให้เพียงพอต่อการทำไอศกรีมโดยไม่ต้องเติมไขมันทดแทน
2. สำหรับการคั้นด้วยเครื่องคั้นกะทิแบบเกลียว
ฤดูแล้ง: ใช้อัตราส่วน 1:1.0 ถึง 1:1.1 (เช่น 500 g : 500–550 g) ลดน้ำลงเล็กน้อยจากการคั้นมือ เนื่องจากเครื่องสามารถรีดไขมันออกได้ดีกว่า
ต้นฤดูฝน: ใช้อัตราส่วน 1:0.9 ถึง 1:1.0 (เช่น 500 g : 450–500 g)
ปลายฤดูฝน: ใช้อัตราส่วน 1:0.7 ถึง 1:0.8 (เช่น 500 g : 350–400 g) เพื่อเพิ่มความเข้มข้นของกะทิให้ใกล้เคียงมาตรฐาน
การเลือกอัตราส่วนมะพร้าวขูดต่อน้ำอุ่นที่เหมาะสมกับเครื่องมือและฤดูกาล จะช่วยให้ได้กะทิที่มีคุณภาพใกล้เคียงกันตลอดทั้งปี และลดความยุ่งยากในการเปลี่ยนแปลงสูตรไอศกรีมหลัก
แม้จะมีแนวทางการปรับอัตราส่วนมะพร้าวขูดต่อน้ำอุ่นเพื่อควบคุมคุณภาพกะทิ แต่ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่อาจทำให้ค่าต่างๆ คลาดเคลื่อนจากที่แนะนำได้ เช่น:
อายุของมะพร้าว: มะพร้าวที่แก่จัดจะให้ไขมันสูงกว่ามะพร้าวอ่อน แม้จะใช้สัดส่วนคั้นเดียวกัน
สายพันธุ์มะพร้าว: มะพร้าวบางสายพันธุ์ อาจให้ไขมันและความข้นไม่เท่ากัน โดยสายพันธุ์ที่ได้รับการยอมรับว่าให้มะพร้าวขูดคุณภาพดี กลิ่นหอม และเหมาะกับการคั้นกะทิสำหรับไอศกรีม ได้แก่ พันธุ์กะทิ เช่น พันธุ์กะทิลูกผสม พันธุ์แม่กลอง และพันธุ์สวีลูกผสม (Sawi Hybrid No.1) ซึ่งมีปริมาณน้ำมันสูง กลิ่นหอมธรรมชาติ และให้เนื้อหนาแน่นเหมาะกับการคั้นด้วยมือหรือเครื่อง
แหล่งเพาะปลูก: มะพร้าวจากภาคใต้ของไทยที่ได้รับฝนตลอดทั้งปี อาจมีเนื้อที่มีความชื้นสูงกว่า ส่งผลให้กะทิที่ได้มีความมันต่ำกว่ามะพร้าวจากพื้นที่ที่มีฤดูแล้งชัดเจน เช่น ภาคกลางหรือตะวันตกของไทย
อุณหภูมิของน้ำที่ใช้คั้น: น้ำที่ร้อนเกินไปหรือต่ำเกินไปมีผลต่อการสกัดไขมันออกจากเนื้อ
แรงมือหรือแรงกดของเครื่องคั้น: คั้นมือกับเครื่องคั้นแบบเกลียวให้ผลไม่เท่ากัน แม้จะใช้อัตราส่วนน้ำเท่ากัน
วิธีการกรองหรือแยกกาก: การบีบหรือกรองแรงเกินไปหรือน้อยเกินไปมีผลต่อปริมาณไขมันที่ออกมา
ความสดของเนื้อมะพร้าว: เนื้อที่ค้างนานหรือไม่สด จะให้ผลผลิตและไขมันต่ำกว่าปกติ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีสวนมะพร้าวบางพื้นที่ที่จัดการหลังเก็บเกี่ยวอย่างเป็นระบบ เช่น การลอกเปลือก คัดขนาด และขนส่งในสภาพควบคุม ทำให้สามารถคงความสดได้แม้ต้องขนส่งไกล เช่น จากภาคใต้ขึ้นมาผลิตในภาคกลาง ซึ่งช่วยให้คุณภาพของกะทิคงที่มากขึ้น แม้จะมาจากแหล่งที่มีฝนตกชุก
การปรับอัตราส่วนของมะพร้าวขูดต่อน้ำในแต่ละฤดูอย่างเหมาะสม ถือเป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพในการรักษาความเข้มข้นของกะทิให้สม่ำเสมอ ซึ่งส่งผลให้ไอศกรีมมีคุณภาพคงที่และได้มาตรฐานตลอดทั้งปี
หากคุณเคยเจอปัญหากะทิไม่คงที่ หรือไอศกรีมที่ออกมาไม่เหมือนเดิม บทความนี้คือคู่มือที่คุณควรเซฟไว้!
ความรู้เชิงลึกเรื่องวัตถุดิบธรรมชาติอย่าง “กะทิ” ไม่เพียงแค่ช่วยให้ผลิตภัณฑ์ของคุณดีขึ้น แต่ยังช่วยลดการลองผิดลองถูก และควบคุมต้นทุนได้แม่นยำยิ่งขึ้น
📚 สนใจเรียนรู้แบบลงมือทำจริง?
Miss Icecream เปิดคลาสสอนทำไอศกรีมแบบมืออาชีพ คลิกดูรายละเอียดได้ที่
📱 ถามเพิ่มเติมได้เลยที่
LINE: @missicecream
Facebook: MISSiCREAM
โทร: 088-205-8205
พร้อมแล้วหรือยัง? ไปคั้นกะทิอย่างมั่นใจ แล้วทำไอศกรีมให้อร่อย…ทุกฤดู!
หน้าที่เข้าชม | 1,157,510 ครั้ง |
เปิดร้าน | 25 มิ.ย. 2561 |
ร้านค้าอัพเดท | 20 ก.ย. 2568 |