ในการทำไอศกรีมคุณภาพสูง นมไม่ใช่แค่ของเหลวสีขาว แต่เป็นหัวใจหลักของทั้งกลิ่น รส และเนื้อสัมผัสแล้วนมที่คุณใช้อยู่ มีคำว่า “นมสด” บนฉลากชื่อผลิตภัณฑ์หรือไม่?
คำว่า “นมสด” ไม่ได้เป็นเพียงศัพท์ตลาด แต่มีนิยามตามกฎหมายอาหารที่ชัดเจน และส่งผลโดยตรงต่อทั้งคุณภาพและการรับรู้ของผู้บริโภค
ผู้ผลิตหลายรายอาจสงสัยว่า “จะเลือกใช้นมพาสเจอร์ไรส์หรือนม UHT ดี?” หรือ “นม Ultra-pasteurized ใช้ได้ไหมถ้ายังเขียนว่า ‘นมพาสเจอร์ไรส์’?” บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกความแตกต่างระหว่างนมแต่ละประเภททั้งในแง่วิทยาศาสตร์ กลิ่นรส เนื้อสัมผัส ตลอดจนข้อกฎหมายที่ผู้ผลิตไทยควรรู้ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการทำไอศกรีมแบบพรีเมียมหรือเพื่อการค้า
สนใจเรียนรู้เชิงลึกเพิ่มเติม? พบกับคลาสสอนทำไอศกรีมแบบมืออาชีพได้ที่ Miss Icecream
การเลือกประเภทของนมในการผลิตไอศกรีมมีผลอย่างลึกซึ้งต่อคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ทั้งในแง่ของกลิ่น รส เนื้อสัมผัส และความคงตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากมุมมองทางวิทยาศาสตร์ เช่น ระดับการเปลี่ยนแปลงของโปรตีน (denaturation) และผลของความร้อนต่อคุณสมบัติของน้ำนม ในประเทศไทยมีการใช้วัตถุดิบนมอยู่ 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ นมพาสเจอร์ไรส์แบบ “นมสด" (ผ่านความร้อน ≤80°C), นมพาสเจอร์ไรส์แบบ Ultra-pasteurized (ความร้อน 125–138°C), และนม UHT (≥135°C) บทความนี้จะเปรียบเทียบทั้งลักษณะทางเคมี กายภาพ ประสาทสัมผัส ตลอดจนข้อกำหนดทางกฎหมายไทย และความเหมาะสมสำหรับการผลิตเชิงพาณิชย์โดยเฉพาะสำหรับผู้ประกอบการ SME
ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 350 พ.ศ. 2557):
ต้องผ่านการให้ความร้อนที่อุณหภูมิไม่น้อยกว่า 72°C เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 15 วินาที
เก็บรักษาที่อุณหภูมิต่ำกว่า 8°C
สามารถใช้คำว่า “นมสด” ได้ก็ต่อเมื่อผ่านความร้อนต่ำกว่า 80°C
อายุเก็บรักษาสั้น ประมาณ 7–10 วัน
ในทางปฏิบัติ นมพาสเจอร์ไรส์ในไทยส่วนใหญ่ผ่านความร้อนสูงกว่ามาตรฐานเล็กน้อย (Ultra-pasteurized milk) ประมาณ 125–138°C เป็นเวลา 2–4 วินาที อายุเก็บ 2–4 สัปดาห์ ซึ่งยังเรียกว่านมพาสเจอร์ไรส์ได้ แต่ไม่สามารถระบุเป็น "นมสด" ในชื่อของผลิตภัณฑ์บนฉลากได้
ต้องผ่านการให้ความร้อนที่อุณหภูมิไม่ต่ำกว่า 133°C เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 1 วินาที
บรรจุในภาชนะปลอดเชื้อ สามารถเก็บที่อุณหภูมิห้องได้นาน 6–9 เดือน
ไม่สามารถใช้คำว่า “นมสด” ได้
ประเภทนม | อุณหภูมิที่ใช้ | อายุเก็บ | รสชาติและกลิ่น | เนื้อสัมผัส | ระดับ denaturation | ความเหมาะสมสำหรับไอศกรีมพรีเมียม |
---|---|---|---|---|---|---|
นมสด (≤80°C) | 72–78°C | 7–10 วัน | หอม สดธรรมชาติ | เนียน นุ่ม | ต่ำ (~10–30%) | ดีมาก |
Ultra-pasteurized | 125–138°C | 2–4 สัปดาห์ | เริ่ม cooked note | ข้นเล็กน้อย | สูง (~70–90%) | ปานกลาง (อาจมี off-flavor) |
UHT | ≥135°C | 6–9 เดือน | กลิ่นตุ กลิ่นต้ม | แข็ง หยาบ | สูงสุด (~90–100%) | ต่ำ (อาจต้องเสริม stabilizer/emulsifier) |
การให้ความร้อนเพิ่มเติมกับนมพาสเจอร์ไรส์ เช่นที่ 85°C ตามวิธีการผลิตไอศกรีมในระดับที่ทำในครัวเรือนแบบโฮมเมด จะทำให้เกิดการเสียสภาพของโปรตีน (protein denaturation) และปฏิกิริยา Maillard เพิ่มขึ้น ส่งผลต่อคุณภาพของไอศกรีมเมื่อเทียบกับนมที่ไม่ผ่านการพาสเจอร์ไรส์์ซ้ำหรือให้ความร้อนเพิ่มเติม (เช่น ระดับความร้อนอยู่ที่ ≤55°C) โดยจะทำให้เนื้อสัมผัสของไอศกรีมแน่น แข็ง และหยาบกระด้างมากขึ้นจากการสูญเสียสมดุลของโปรตีนและไขมัน (Walstra et al., 2005)
นมพาสเจอร์ไรส์ที่ผ่านความร้อนต่ำ (<80°C) โปรตีนยังอยู่ในสภาพธรรมชาติ ช่วยสร้างอิมัลชันที่มีความเสถียรดี ส่งผลให้ไอศกรีมมีเนื้อสัมผัสที่เนียนและนุ่ม ในทางกลับกัน นมที่ผ่านความร้อนสูง (Ultra-pasteurized และ UHT) จะเกิด protein denaturation ทำให้โปรตีนเสียสภาพและสูญเสียคุณสมบัติในการอิมัลซิฟายตามธรรมชาติ แต่ในอุตสาหกรรมไอศกรีมที่มีการเติมสารอิมัลซิไฟเออร์ (emulsifier เช่น monoglyceride, polysorbate) จะช่วยชดเชยและควบคุมการเกิด partial coalescence ส่งผลให้ไอศกรีมมี overrun ที่เหมาะสมระหว่างการปั่น (Walstra et al., 2005)
การเติมนมผงในไอศกรีมโฮมเมดที่ผ่านการละลายและพักอย่างถูกต้อง (ละลายนมผงที่ ~50°C และพักที่ ≤10°C เป็นเวลา 20 นาที) จะช่วยให้โปรตีนที่เสียสภาพ (denatured protein) ในนมผงดูดซับน้ำและจัดเรียงตัวใหม่ได้ดีขึ้น เมื่อรวมกับนมสดพาสเจอร์ไรส์ที่มีโปรตีนในสภาพสมบูรณ์ (native protein) จะช่วยเพิ่มความหนืด (viscosity) และโครงสร้างเนื้อสัมผัสของไอศกรีมให้แน่นเนียนยิ่งขึ้น แต่ถ้ารวมกับนม UHT ที่มีโปรตีน denature สูงสุดแล้ว ผลกระทบเชิงบวกจะน้อยกว่าและอาจจำเป็นต้องเติมสารเพิ่มเสถียรภาพอื่นๆ เพิ่มเติม
นมพาสเจอร์ไรส์แบบ ≤80°C เหมาะสมที่สุดสำหรับการผลิตไอศกรีมคุณภาพสูงที่เน้นความสดและเนื้อสัมผัสที่ดี แต่หาซื้อได้ยาก มีให้เลือกไม่กี่ยี่ห้อ แถมปกติก็จะขาดตลาดบ่อย
นม Ultra-pasteurized หาซื้อได้ง่าย มีขายทั่วไป แต่มีข้อจำกัดด้าน off-flavor เล็กน้อย
นม UHT เหมาะกับผลิตไอศกรีมเชิงพาณิชย์ที่เน้นต้นทุนและอายุเก็บของวัตถุดิบมากกว่าคุณภาพระดับพรีเมียม
การเลือกใช้ประเภทนมที่เหมาะสมจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างคุณค่าและคุณภาพของไอศกรีม
Chandan, R. C., Kilara, A., & Shah, N. P. (2020). Dairy Processing and Quality Assurance (2nd ed.). Wiley.
Raikos, V. (2010). Effect of heat treatment on milk proteins. International Journal of Dairy Technology, 63(3), 342-348.
Walstra, P., Wouters, J. T. M., & Geurts, T. J. (2005). Dairy Science and Technology (2nd ed.). CRC Press.
กระทรวงสาธารณสุข. (2557). ประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 350) เรื่องนม. ราชกิจจานุเบกษา.
FDA. (2019). Grade "A" Pasteurized Milk Ordinance (PMO). U.S. Department of Health and Human Services.
Codex Alimentarius. (2011). Milk and Milk Products (2nd ed.). FAO/WHO.
การเลือกนมให้เหมาะกับกระบวนการผลิตและกลุ่มเป้าหมาย คือจุดเริ่มต้นของไอศกรีมที่ดี ไม่ว่านมสดพาสเจอร์ไรส์ Ultra-pasteurized หรือนม UHT แต่ละแบบมีข้อดีและข้อจำกัดต่างกัน ผู้ผลิตรายย่อยควรพิจารณาทั้งคุณภาพ ความสะดวกในการจัดหา และข้อกฎหมายกำกับอย่างถี่ถ้วน
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่มุ่งมั่นพัฒนาไอศกรีมสูตรพรีเมียมแบบมืออาชีพ👉 ลองมาเรียนกับเราได้เลย!📩 สอบถามเพิ่มเติมผ่าน LINE ของ Miss Icecream
หน้าที่เข้าชม | 1,159,317 ครั้ง |
เปิดร้าน | 25 มิ.ย. 2561 |
ร้านค้าอัพเดท | 29 ก.ย. 2568 |