คลอรีนคือสารฆ่าเชื้อที่มีประสิทธิภาพและราคาไม่แพง ที่ผู้ผลิตไอศกรีมทุกรายควรรู้จักและใช้งานได้อย่างถูกต้อง วันนี้ Miss Icecream จะพาคุณมารู้จักวิธีใช้คลอรีนสำหรับฆ่าเชื้ออุปกรณ์ไอศกรีม ไม่ว่าจะเป็นชนิดน้ำหรือชนิดผง พร้อมทั้งแนะนำวิธีการคำนวณความเข้มข้นที่เหมาะสม เพื่อความสะอาด ปลอดภัย และมั่นใจสูงสุดในการผลิตไอศกรีมของคุณ
คลอรีน (Chlorine) เป็นสารเคมีที่นิยมใช้สำหรับฆ่าเชื้อโรคและกำจัดกลิ่นในกระบวนการผลิตอาหาร รวมถึงการผลิตไอศกรีมด้วย เนื่องจากมีประสิทธิภาพสูง ราคาถูก และใช้งานง่าย การใช้คลอรีนในการทำความสะอาดอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับไอศกรีม เช่น โถปั่น หม้อ ชามผสม ตะกร้อ ถาด และสคูป เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยป้องกันการปนเปื้อนและยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์เหล่านี้
คลอรีนหาซื้อได้ง่ายจากหลายแหล่ง เช่น ร้านขายอุปกรณ์เคมีภัณฑ์ ร้านอุปกรณ์ห้องแล็บ หรือร้านค้าออนไลน์ทั่วไป เช่น Shopee, Lazada หรือเว็บไซต์ที่จำหน่ายเครื่องมือในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม แต่คลอรีนชนิดน้ำหรือผงที่ใช้กับสระว่ายน้ำอาจมีสารเติมแต่งอื่นที่ไม่เหมาะสำหรับการใช้งานกับอุปกรณ์ประกอบอาหาร ดังนั้นควรเลือกใช้คลอรีนที่ระบุชัดเจนว่าเป็นเกรดสำหรับ/หรือสามารถใช้สำหรับการฆ่าเชื้ออุปกรณ์ประกอบอาหารโดยตรงเท่านั้น
ทั้งนี้การใช้คลอรีน ควรอ่านคำแนะนำการใช้งานและความปลอดภัยที่ระบุบนฉลากให้ละเอียด และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เก็บรักษาให้ถูกวิธี ที่สำคัญต้องเก็บให้พ้นมือเด็กด้วยนะคะ
คลอรีนมีคุณสมบัติเป็นสารออกซิไดซ์ (Oxidizing agent) ซึ่งสามารถปลดปล่อยอะตอมออกซิเจนที่มีพลังในการทำลายโครงสร้างของเซลล์จุลินทรีย์ได้โดยตรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยื่อหุ้มเซลล์และโปรตีนที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของแบคทีเรีย เชื้อรา และไวรัส ทำให้จุลินทรีย์เหล่านั้นหยุดการทำงานหรือถูกทำลายลงอย่างมีประสิทธิภาพ คลอรีนยังสามารถออกซิไดซ์สารประกอบอินทรีย์ที่เป็นแหล่งอาหารของจุลินทรีย์ได้อีกด้วย จึงช่วยลดโอกาสการเจริญเติบโตซ้ำของจุลินทรีย์ในภาชนะและอุปกรณ์ที่สัมผัสอาหาร
นอกจากการฆ่าเชื้อแล้ว คลอรีนยังมีคุณสมบัติในการกำจัดกลิ่นโดยทำปฏิกิริยากับสารประกอบที่มีกลิ่นเหม็น เช่น สารประกอบกลุ่มซัลไฟด์หรือกรดไขมันระเหย (volatile fatty acids) ซึ่งมักเกิดจากการเน่าเสียของอาหาร โดยคลอรีนจะเปลี่ยนสารเหล่านี้ให้เป็นสารที่ไม่มีกลิ่นหรือมีกลิ่นลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้นจึงเหมาะสำหรับการใช้ทำความสะอาดอุปกรณ์ที่มีกลิ่นตกค้าง เช่น เครื่องปั่นไอศกรีมหรือสคูป ที่ผ่านการใช้งานกับผลิตภัณฑ์ที่มีนมเป็นส่วนประกอบ
ควรเลือกผลิตภัณฑ์คลอรีนชนิดน้ำที่ระบุชัดเจนว่าเป็นเกรดสำหรับการฆ่าเชื้ออุปกรณ์ประกอบอาหารโดยตรง โดยทั่วไปแบบที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารมักจะมีความเข้มข้นอยู่ที่ 10% และแบบที่ใช้ในครัวเรือนมักจะมีความเข้มข้นอยู่ที่ 3-6%
ข้อดี:
ใช้งานง่าย สะดวก
ผสมง่ายและละลายน้ำได้ทันทีโดยไม่มีตะกอน ทำให้ไม่มีคราบขาวหลงเหลือติดบนภาชนะหลังจากการฆ่าเชื้อ
ข้อเสีย:
มีอายุการเก็บรักษาค่อนข้างสั้น (6 เดือน - 1 ปี)
ต้องเก็บรักษาในภาชนะทึบแสงและพื้นที่ที่มีอากาศถ่ายเทดี
คลอรีนชนิดผงหรือเม็ดจะมีความเข้มข้นสูงกว่า (60-70%) และมีอายุการเก็บรักษาที่ยาวนานกว่า เลือกใช้ชนิดที่ระบุชัดเจนว่าเป็นเกรดสำหรับการฆ่าเชื้ออุปกรณ์ประกอบอาหารโดยตรง
ข้อดี:
มีอายุการเก็บรักษายาวนานกว่า (1-2 ปี)
ประหยัดพื้นที่ในการจัดเก็บเนื่องจากความเข้มข้นสูง
เหมาะสำหรับการใช้งานในปริมาณมาก
ข้อเสีย:
ต้องระมัดระวังในการผสม เนื่องจากเข้มข้นสูง
จากประสบการณ์การใช้งานจริง หลังทำการเจือจางด้วยการละลายในน้ำ จะเกิดตะกอนของแคลเซียมขึ้นเสมอ โดยตะกอนนี้อาจจับตัวเป็นคราบขาวที่ภาชนะหลังผึ่งให้แห้ง ดังนั้นควรละลายคลอรีนผงในน้ำให้เข้ากัน แล้วรอให้เกิดการตกตะกอนก่อน จากนั้นจึงตักเฉพาะส่วนของน้ำใสด้านบนไปใช้งาน
ความเข้มข้นที่แนะนำคือ 100–200 ppm
โดยทั่วไปค่าที่นิยมใช้คือ:
100 ppm สำหรับการใช้งานทั่วไป
200 ppm เมื่อมีการปนเปื้อนสูง หรือในสถานการณ์ที่ต้องการฆ่าเชื้อเป็นพิเศษ
ใช้คลอรีนน้ำ 10% ปริมาณ 20 มล. ผสมกับน้ำสะอาด 10 ลิตร จะได้ความเข้มข้นประมาณ 200 ppm (หรือต่ำกว่า เนื่องจากหลังเปิดใช้ คลอรีนน้ำอาจจะมีการสลายไปบางส่วน ทำให้ความเข้มข้นของคลอรีนจริงในขวดลดลงเรื่อย ๆ จึงแนะนำให้เจือจางที่ความเข้มข้น 200 ppm ซึ่งเป็นความเข้มข้นสูงสุดสำหรับการใช้ล้างทำความสะอาดอุปกรณ์ หากต้องการให้เข้มข้นน้อยกว่านี้ สามารถคำนวณปรับลดลงได้)
แนะนำให้เตรียมและใช้งานทันที หรือภายในวันเดียวกันเพื่อคงประสิทธิภาพ
ใช้คลอรีนผงประมาณ 1 ช้อนชา (5 กรัม) ละลายในน้ำสะอาด 10 ลิตร คนจนละลายหมด จะได้ความเข้มข้นประมาณ 100-200 ppm
ควรใช้ทันทีหลังจากผสมเสร็จเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด
ตัวอย่างการคำนวณ PPM ของคลอรีน
PPM ย่อมาจาก "Parts Per Million" หรือ "ส่วนในล้านส่วน" ใช้สำหรับวัดความเข้มข้นของสารละลายในของเหลว โดย 1 ppm หมายถึง 1 ส่วนของสารใน 1,000,000 ส่วนของสารละลาย เช่น การเติมคลอรีนให้ได้ 200 ppm หมายถึงการใส่สารคลอรีน 200 มิลลิกรัมในน้ำ 1 ลิตร (1,000,000 มิลลิกรัม หรือประมาณ 1 กิโลกรัมของน้ำ)
คลอรีนชนิดน้ำแบบใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร (คลอรีนน้ำความเข้มข้น 10%)ต้องการเตรียมน้ำคลอรีนประมาณ 10 ลิตร ที่ความเข้มข้น 200 ppm (200 mg/L)
คลอรีนน้ำ 10% เทียบเท่า 100,000 ppm
ต้องการความเข้มข้น 200 ppm ใน 10 ลิตร = 200 x 10,000 มล. ÷ 100,000 ppm
เท่ากับ 20 มล. ของคลอรีนน้ำ 10% ผสมกับน้ำสะอาด 10 ลิตร
คลอรีนชนิดน้ำแบบใช้ในครัวเรือน (คลอรีนน้ำความเข้มข้น 5%)
ต้องการเตรียมน้ำคลอรีนประมาณ 10 ลิตร ที่ความเข้มข้น 200 ppm (200 mg/L)
คลอรีนน้ำ 5% คือ 50,000 ppm
ต้องการความเข้มข้น 200 ppm ใน 10 ลิตร = 200 x 10,000 มล. ÷ 50,000 ppm
เท่ากับ 40 มล. ของคลอรีนน้ำ 5% ผสมกับน้ำสะอาด 10 ลิตร
คลอรีนชนิดผง (จากคลอรีนผงความเข้มข้น 65%)ต้องการเตรียมน้ำคลอรีนประมาณ 10 ลิตร ที่ความเข้มข้น 200 ppm (200 mg/L)
คลอรีนผง 65% คือ 650,000 ppm
ต้องการความเข้มข้น 200 ppm ใน 10 ลิตร = 200 x 10 ลิตร ÷ 650,000 ppm
เท่ากับประมาณ 3.08 กรัมของคลอรีนผง 65% ผสมกับน้ำสะอาด 10 ลิตร
เพื่อความแม่นยำและปลอดภัยมากยิ่งขึ้นในการใช้งานจริง แนะนำให้ใช้ Chlorine Test Strip ซึ่งเป็นแถบวัดคลอรีนที่สามารถตรวจสอบค่าความเข้มข้นของสารละลายได้ทันที โดยเปลี่ยนสีตามระดับ ppm ที่ตรวจพบ ผู้ใช้งานสามารถจุ่มแถบลงในน้ำที่ผสมคลอรีน แล้วเทียบกับตารางสีที่แถมมากับแถบวัดเพื่อดูค่าที่แน่นอน
Chlorine Test Strip หาซื้อได้ง่ายจากแหล่งที่ขายคลอรีน
ล้างอุปกรณ์ทั้งหมดด้วยน้ำยาล้างจาน และล้างน้ำเปล่าจนสะอาด
แช่อุปกรณ์ที่ล้างสะอาดแล้วลงในสารละลายคลอรีนที่เตรียมไว้ 5 นาที
นำอุปกรณ์ขึ้นจากสารละลาย แล้วล้างด้วยน้ำสะอาดเพื่อกำจัดคลอรีนที่อาจจะยังคงตกค้างอยู่ให้หมด หากไม่ต้องการล้างออกด้วยน้ำหรือล้างออกไม่ได้ ต้องใช้คลอรีนความเข้มข้นไม่เกิน 100 ppm (เช่น ไม่ต้องการล้างออกเพื่อป้องกันการปนเปื้อนกลับจากน้ำที่ใช้ล้าง หรือเป็นพื้นผิวที่ไม่สะดวกล้างออก เช่น ผิวโต๊ะในครัวที่ล้างด้วยน้ำไม่ได้เนื่องจากน้ำจะไหลนองลงพื้นที่ไม่สามารถระบายน้ำได้)
ผึ่งอุปกรณ์ให้แห้งสนิทก่อนนำไปใช้งานหรือเก็บรักษา
น้ำที่ใช้ใส่ในถังสำหรับจุ่มสคูปก่อนตักไอศกรีม ไม่ควรผสมคลอรีน ควรใช้น้ำสะอาดที่ใช้สำหรับดื่มได้ และต้องเปลี่ยนน้ำบ่อย ๆ เช่น ทุกชั่วโมง หรือถ้าจะให้ดีกว่านั้น ควรใช้ระบบที่ให้น้ำสะอาดไหลผ่านภาชนะจุ่ม scoop ตลอดเวลา (dip well with running water) หรือใช้น้ำเย็นจัด (บางร้านใช้ใส่น้ำแข็งแบบสะอาดสำหรับทานได้) เพื่อชะลอการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ และช่วยให้สคูปมีอุณหภูมิไม่สูง เวลาตักไอศกรีมจะลดผลกระทบต่อการละลายของไอศกรีมเมื่อสัมผัสผิวของสคูปได้เล็กน้อย นอกจากนี้ควรล้างสคูปด้วยน้ำร้อนเป็นช่วงๆ เมื่อทำได้ เพื่อฆ่าเชื้อที่อยู่ที่พื้นผิวสคูปในระหว่างการใช้งาน
การใช้น้ำคลอรีนในการจุ่มล้างสคูปสามารถทำได้ เมื่อต้องการล้างเก็บ หรือล้างเป็นช่วงๆ ก่อนหรือระหว่างการใช้งาน เพื่อช่วยฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ โดยทั่วไปแนะนำให้ใช้น้ำคลอรีนที่ความเข้มข้นไม่เกิน 100 ppm เพื่อให้เพียงพอสำหรับการยับยั้งเชื้อโรค โดยต้องล้างสคูปด้วยน้ำและน้ำยาล้างจานจนหมดคราบก่อน แล้วจึงจุ่มสคูปในน้ำตลอรีนนาน 5 นาที แล้วล้างสคูปด้วยน้ำสะอาดจนมั่นใจว่าหมดคลอรีนแล้วก่อน จึงจะนำไปตักไอศกรีมได้ เพื่อลดการตกค้างของคลอรีนที่อาจปนเปื้อนในเนื้อไอศกรีม และเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค
สแตนเลสเกรดอาหาร (เช่น SUS304 หรือ SUS316): ทนต่อการกัดกร่อนจากคลอรีนได้ดี ใช้ได้ทั้งในการผสมและแช่อุปกรณ์
พลาสติก HDPE (High-Density Polyethylene): เป็นพลาสติกชนิดหนาที่ใช้กันทั่วไปในถังเก็บสารเคมี ทนต่อคลอรีนได้ดี
PP (Polypropylene): ทนด่างและคลอรีนได้ดี เหมาะกับภาชนะชั่วคราวหรือภาชนะผสม
แก้ว (Glass): โดยเฉพาะแก้วหนาหรือบีกเกอร์ห้องแล็บ สามารถใช้ผสมคลอรีนในปริมาณน้อยได้
อะลูมิเนียม: ถูกกัดกร่อนได้ง่ายเมื่อสัมผัสคลอรีน ทำให้เกิดคราบดำและปล่อยโลหะหนักปนเปื้อนได้
ทองแดงและทองเหลือง: ไวต่อการกัดกร่อนจากคลอรีน
พลาสติกบางชนิด เช่น PVC และ PET: อาจปล่อยสารที่ไม่เหมาะสมเมื่อสัมผัสคลอรีนเป็นเวลานาน และอาจกรอบหรือแตกร้าว
ภาชนะเคลือบโลหะหรือมีลวดลายสีพ่น: คลอรีนอาจกัดสีหรือเคลือบออก ทำให้เกิดการปนเปื้อน
เพื่อความปลอดภัย ควรเลือกภาชนะที่ระบุชัดเจนว่าสามารถใช้กับสารเคมี หรือเลือกภาชนะที่ผ่านการรับรองสำหรับการใช้ในอุตสาหกรรมอาหารและการฆ่าเชื้อโดยเฉพาะ
สำหรับพื้นผิวโต๊ะที่มีการสัมผัสกับอาหารโดยตรง เช่น โต๊ะที่ใช้ในการทำไอศกรีม ควรใช้ความเข้มข้นของคลอรีนอยู่ในช่วง 50–100 ppm โดยค่าที่แนะนำและนิยมใช้อย่างแพร่หลายคือ 100 ppm เนื่องจากมีประสิทธิภาพฆ่าเชื้อโรคได้ดีและมีความปลอดภัยเพียงพอที่จะปล่อยให้แห้งเองโดยไม่ต้องล้างน้ำตาม
เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดในการรักษาความสะอาดและยืดอายุการใช้งานของโต๊ะ วัสดุที่แนะนำคือ:
ในกรณีที่ภาชนะที่บ้านมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ เช่น กลิ่นนมบูดหรือกลิ่นสาป แต่ไม่สะดวกที่จะหาซื้อคลอรีนสำหรับใช้กับอุปกรณ์ทำอาหารโดยเฉพาะมาใช้ สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ไฮเตอร์ชนิดน้ำได้ ไฮเตอร์ชนิดน้ำคือสารฟอกขาวที่มีส่วนประกอบหลักเป็นโซเดียมไฮโปคลอไรท์ (Sodium hypochlorite) มีความเข้มข้นประมาณ 3-6%
ใช้ไฮเตอร์ชนิดน้ำประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ (15 มล.) ผสมกับน้ำสะอาด 4 ลิตร
แช่อุปกรณ์ที่มีกลิ่นในสารละลาย 5-10 นาที
ล้างด้วยน้ำสะอาดให้มั่นใจว่าหมดสารเคมีและกลิ่นตกค้าง และผึ่งให้แห้งสนิทก่อนนำไปใช้งาน
ห้ามใช้ในความเข้มข้นสูงเกินไป
ควรล้างน้ำสะอาดทุกครั้งหลังจากแช่ฆ่าเชื้อ เนื่องจากไฮเตอร์อาจจะมีสารอื่นที่ไม่ใช่โซเดียมไฮโปคลอไรท์ผสมอยู่ด้วยเล็กน้อย เช่นน้ำหอม เพื่อช่วยดับกลิ่นฉุนรุนแรงของคลอรีน การใช้ไฮเตอร์เพื่อจุมภาชนะแล้วผึ่งแห้งเฉย ๆ อาจจะมีสารเคมีเหล่านี้ตกค้างเหลืออยู่ ซึ่งโดยปกติก็ไม่เหลือตกค้างมากจนต้องกังวล แต่เพื่อความปลอดภัย ควรล้างด้วยน้ำสะอาดอีกจนมั่นใจว่าไม่เหลือกลิ่นและสารเคมีตกค้าง
ห้ามผสมกับสารเคมีอื่น เพราะอาจเกิดก๊าซพิษ
ใช้ในบริเวณที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก
การใช้คลอรีนฆ่าเชื้ออุปกรณ์ผลิตไอศกรีมอย่างถูกต้องจะช่วยให้ธุรกิจและการทำไอศกรีมที่บ้านของคุณสะอาดปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
อย่าลืมคอมเมนต์หรือแชร์บทความนี้ไปให้เพื่อน ๆ ด้วยนะคะ
ติดตามสินค้าและวัตถุดิบสำหรับการผลิตไอศกรีมเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ Miss Icecream ได้เลยค่ะ
หน้าที่เข้าชม | 1,163,675 ครั้ง |
เปิดร้าน | 25 มิ.ย. 2561 |
ร้านค้าอัพเดท | 22 ต.ค. 2568 |