🍵 สรุปสั้นสำหรับคนมีเวลาน้อย
มัทฉะคือผงชาเขียวที่ดื่ม “ทั้งใบ” ต่างจากชาเขียวทั่วไปที่แค่ชงน้ำแล้วทิ้งกาก จึงให้สารอาหารครบกว่า ทั้ง L-theanine ที่ช่วยให้ผ่อนคลายแบบมีสมาธิ และสารต้านอนุมูลอิสระ EGCG
ต้นกำเนิดจากจีน แต่ญี่ปุ่นคือผู้นำในการพัฒนาให้ลึกซึ้งจนกลายเป็น “พิธีชงชา” และต่อยอดสู่ขนม ไอศกรีม และเครื่องดื่มร่วมสมัยมากมาย
มัทฉะมีหลายเกรด — เกรด ceremonial สำหรับชงดื่มแบบพิธี และเกรด culinary สำหรับทำอาหารและขนม
ญี่ปุ่นยังคงเป็นแหล่งผลิตมัทฉะระดับพรีเมียมของโลก โดยเฉพาะจากอุจิและนิชิโอะ ซึ่งขึ้นชื่อด้านกลิ่น รส และคุณภาพคงที่
มัทฉะจึงไม่ใช่แค่ “ชาเขียวผง” แต่เป็นวัฒนธรรมที่ดื่มได้ และเป็นรสชาติที่ทั่วโลกยอมรับ 🍵✨
ชาเขียวแบบผงที่เรารู้จักกันในชื่อ "Matcha" ไม่ได้เป็นเพียงผงสีเขียวธรรมดา แต่มันคือตัวแทนของวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่ผสานทั้งประวัติศาสตร์ ความพิถีพิถัน และรสชาติที่ลึกซึ้ง
มัทฉะคือชาเขียวแบบผงที่ต้องผลิตจากใบชาที่เรียกว่า "เท็นฉะ (Tencha)" เท่านั้น ซึ่งเป็นใบชาที่ปลูกในร่มเพื่อเพิ่มคลอโรฟิลล์และกรดอะมิโน จากนั้นนำไปนึ่งและอบแห้งโดยไม่ผ่านการนวดหรือม้วนใบ เพื่อรักษาโครงสร้างให้เหมาะสำหรับการบดละเอียด หากใช้ใบชาอื่น เช่น เซนฉะ (Sencha) มาบด จะได้เป็นเพียงผงชาเขียว ไม่ใช่มัทฉะแท้
ใบเท็นฉะที่นำมาทำมัทฉะมักมาจากพันธุ์ชาเขียวคุณภาพสูงของญี่ปุ่น เช่น ยาบุกิตะ (Yabukita), โอคุมิโดริ (Okumidori) และซามิดะริ (Samidori) ซึ่งให้รสชาติกลมกล่อม กลิ่นหอมสด และสีเขียวเข้ม ก่อนเก็บเกี่ยวจะมีการพรางแสงประมาณ 3–4 สัปดาห์เพื่อกระตุ้นการสร้าง L-theanine และลดคาเทชิน ทำให้รสหวานนุ่มนวล ใบชาที่ได้จะถูกนึ่งเพื่อหยุดการเกิดออกซิเดชัน (enzyme deactivation) อบแห้ง และบดด้วยโม่หินให้ละเอียดระดับ 5–10 ไมครอน ซึ่งเล็กพอให้กระจายตัวในน้ำได้โดยไม่ต้องกรอง
ความต่างสำคัญระหว่างมัทฉะกับชาเขียวทั่วไปคือ เราดื่มมัทฉะในรูปแบบผงละเอียด ซึ่งหมายถึงการบริโภคใบชาทั้งใบ ไม่ใช่แค่สารที่ละลายในน้ำเหมือนการชงชาแบบทั่วไป เช่น เซนฉะ การดื่มมัทฉะจึงเปรียบได้กับการกินข้าวกล้องทั้งเมล็ด แทนที่จะดื่มน้ำชาเขียวที่ได้จากการชงใบชาแล้วทิ้งกาก — เหมือนกับการดื่มน้ำข้าวต้มแทนการกินข้าวทั้งเมล็ด เราได้รับใยอาหาร วิตามิน โพลีฟีนอล และสารอาหารอื่นๆ ที่ยังอยู่ครบในโครงสร้างใบชา
ด้วยเหตุนี้ มัทฉะจึงมีความหนาแน่นของสารอาหารรวมสูงกว่า โดยเฉพาะกรดอะมิโน L-theanine ซึ่งมีบทบาทสำคัญร่วมกับคาเฟอีนในการส่งผลต่อสมอง ทำให้รู้สึกผ่อนคลายแต่มีสมาธิ (calm alertness) คาเฟอีนในมัทฉะถูกปล่อยออกช้ากว่ากาแฟ เพราะไฟเบอร์และโพลีฟีนอลในใบชาช่วยชะลอการดูดซึม
มัทฉะยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระกลุ่ม catechins เช่น EGCG (epigallocatechin gallate) ที่มีการศึกษาในห้องปฏิบัติการระบุว่าอาจช่วยลดการอักเสบ ปรับสมดุลไขมันในเลือด และยับยั้งเซลล์มะเร็ง อย่างไรก็ตาม ประโยชน์เหล่านี้ส่วนใหญ่ยังอยู่ในระดับทดลอง และผลลัพธ์ในร่างกายมนุษย์อาจแตกต่างกันไป
มัทฉะมีต้นกำเนิดจากจีนในช่วงราชวงศ์ซ่ง (ค.ศ. 960–1279) ซึ่งเป็นยุคที่เริ่มนิยมการบดใบชาเป็นผงแล้วตีด้วยน้ำร้อน ก่อนดื่มในพิธีการและศาสนา โดยเฉพาะในหมู่นักบวชพุทธนิกายเซน การดื่มชาถือเป็นเครื่องมือฝึกสมาธิและรักษาสุขภาพ
พระสงฆ์ญี่ปุ่น เช่น ไซโช และโดยเฉพาะพระเอไซ (Eisai) ได้เดินทางไปศึกษาธรรมในจีน และนำวัฒนธรรมการดื่มชาผงกลับสู่ญี่ปุ่น โดยพระเอไซถือเป็นบุคคลสำคัญที่มีบทบาทในการเผยแพร่ชาเพื่อการแพทย์และการทำสมาธิในวัดเซน ชาบดในยุคนั้นมีลักษณะคล้ายมัทฉะในปัจจุบัน และถูกนำมาใช้ควบคู่กับวิถีแห่งเซนอย่างลึกซึ้ง
ในยุคมุโรมาจิ (ค.ศ. 1336–1573) วิถีการดื่มชาถูกยกระดับเป็นพิธีกรรม ผ่านการวางรากฐานของ "ชาโด" โดยเซนโนะริคิว (Sen no Rikyū) ซึ่งเน้นความเรียบง่าย ความใส่ใจ และการฝึกจิตผ่านทุกขั้นตอนของการชงชา ทำให้มัทฉะไม่ใช่แค่เครื่องดื่ม แต่กลายเป็นแก่นวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่มีมิติเชิงจิตวิญญาณควบคู่กับรสชาติ
ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา ความนิยมในมัทฉะได้ขยายออกไปนอกญี่ปุ่น ทำให้มีความพยายามนำการปลูกเท็นฉะไปยังประเทศอื่น เช่น จีน เกาหลีใต้ ไต้หวัน และแม้แต่ในบางพื้นที่ของยุโรปและสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตาม ปัจจัยด้านดิน อากาศ และเทคนิคการพรางแสงก่อนเก็บเกี่ยวล้วนมีผลอย่างมากต่อคุณภาพ จึงยังถือว่าญี่ปุ่น โดยเฉพาะแถบอุจิและนิชิโอะ เป็นแหล่งผลิตมัทฉะระดับสูงสุดของโลก
ในประเทศไทยเอง ชาวไร่ชาและผู้ประกอบการในภาคเหนือ โดยเฉพาะเชียงรายและเชียงใหม่ ได้ลงมือปลูกพันธุ์ชาเขียวจากญี่ปุ่น และค่อย ๆ ปรับเทคนิคการพรางแสงและการแปรรูปให้เข้ากับภูมิประเทศและสภาพอากาศไทย เป้าหมายไม่ใช่แค่ปลูกชา แต่คือการพัฒนาเท็นฉะไทยคุณภาพดีให้เป็นจริงได้ในภูเขาบ้านเรา
แม้ชื่อเสียงอาจยังไม่โด่งดังในระดับโลก แต่มัทฉะไทยกำลังเติบโตอย่างเงียบๆ พร้อมความตั้งใจแน่วแน่ของเกษตรกรและนักพัฒนา ที่ไม่เพียงสืบทอดวัฒนธรรมจากญี่ปุ่น แต่ยังสร้างสรรค์รสชาติในแบบของไทยเอง — เป็นอีกบทของเรื่องราวมัทฉะ ที่กำลังถูกเขียนขึ้นด้วยมือของคนไทย
มัทฉะในท้องตลาดมีหลายเกรด ซึ่งแบ่งอย่างกว้างๆ ได้เป็นสองประเภทหลัก:
เกรดสำหรับพิธีชงชา (Ceremonial Grade): ใช้ชงดื่มโดยตรง สีเขียวสด รสนุ่ม กลิ่นหอมหวานตามธรรมชาติ ไม่ขมฝาด เหมาะกับการชงแบบ traditional
เกรดสำหรับทำอาหาร (Culinary Grade): ใช้ผสมในขนมและเครื่องดื่ม สีเข้มกว่า รสเข้มข้นและขมเล็กน้อย เพื่อให้รสของมัทฉะเด่นแม้ใช้ในปริมาณน้อย
การรู้จักเกรดช่วยให้ผู้บริโภคเลือกใช้มัทฉะให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ — ทั้งด้านรสชาติ งบประมาณ และผลลัพธ์ที่ต้องการ
พิธีชงชาของญี่ปุ่นที่ใช้มัทฉะเป็นหัวใจหลักเรียกว่า "ชาโด (Chado)" หรือ "วิถีแห่งชา" ซึ่งได้รับอิทธิพลจากแนวคิดเซน โดยเน้นการฝึกจิต ความเรียบง่าย ความเคารพ และความใส่ใจในรายละเอียด ทุกองค์ประกอบในพิธี — ตั้งแต่การเตรียมห้อง การจัดวางอุปกรณ์ ไปจนถึงการชงและการดื่ม — ล้วนมีความหมายและจังหวะที่เฉพาะเจาะจง
พิธีชงชาจะใช้อุปกรณ์เฉพาะ เช่น ชะเซ็น (chasen) หรือแปรงไม้ไผ่สำหรับตีมัทฉะให้ขึ้นฟองละเอียดในถ้วยชะวัง (chawan) การชงจะเริ่มจากการตักมัทฉะลงในถ้วย แล้วเติมน้ำร้อนที่อุณหภูมิพอเหมาะ (ประมาณ 70–80°C) ตีด้วยชะเซ็นเป็นรูปตัว M หรือ W จนได้เนื้อเนียนละเอียดสม่ำเสมอ
การดื่มมัทฉะในพิธีชงชาไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพียงเพื่อชื่นชมรสชาติ หากแต่เป็นการสร้างพื้นที่เงียบสงบให้ผู้คนได้ "พบกันอย่างแท้จริง" ในช่วงเวลานั้น ทุกการเคลื่อนไหว — การรินน้ำ การวางถ้วย การยื่นชา — ล้วนมีความหมายลึกซึ้ง เป็นการสื่อสารแบบไร้ถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความเคารพและสติ
พิธีชาไม่เร่งรีบ ไม่หรูหรา แต่สะท้อนแนวคิดของวะ (ความกลมกลืน), เค (ความเรียบง่าย), เซ (ความบริสุทธิ์), และจัก (ความสงบภายใน) มัทฉะกลายเป็นสื่อกลางระหว่างจิตใจของผู้ต้อนรับและผู้รับชา ทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่ลึกกว่าการสนทนา พิธีชงชาจึงไม่ใช่แค่ศิลปะของชา แต่คือศิลปะของการดำรงอยู่ อย่างถ่อมตน อย่างมีสติ และอย่างเคารพต่อกันในแต่ละลมหายใจ
พิธีชงมัทฉะแบบดั้งเดิมตามแนวทางของชาโด (Chado) ไม่ใช่เพียงการเตรียมเครื่องดื่ม แต่คือศิลปะแห่งการดำรงอยู่ ซึ่งสะท้อนคุณค่าของความเรียบง่าย ความเคารพ และการมีสติผ่านทุกการเคลื่อนไหว โดยมีขั้นตอนสำคัญที่ดำเนินไปอย่างมีจังหวะและความหมาย
การเตรียมสถานที่และอุปกรณ์: ห้องชาสะอาด เงียบ เรียบเรียงด้วยความเรียบง่าย ผู้ต้อนรับเตรียมถ้วยชา (chawan), แปรงตีชา (chasen), ทัพพีไม้ไผ่ (chashaku), ภาชนะใส่มัทฉะ (natsume หรือ cha-ire) และน้ำร้อนในกาต้มน้ำ (kama)
การทำความสะอาดอุปกรณ์ต่อหน้าผู้รับชา: เป็นการแสดงถึงความเคารพและสร้างสมาธิก่อนเริ่มพิธี
การตักมัทฉะและตีชา: ใช้ chashaku ตักมัทฉะประมาณ 2 ช้อนใส่ถ้วย เติมน้ำร้อน 70–80 °C แล้วใช้ chasen ตีเบาๆ เป็นรูปตัว M หรือ W จนขึ้นฟองละเอียดสม่ำเสมอ (สำหรับ usucha) หรือครีมเข้มข้น (สำหรับ koicha)
การยื่นชาและการรับ: ผู้ต้อนรับยื่นถ้วยชาโดยหมุนถ้วยให้ด้านหน้าสวยงามหันออก ผู้รับชาหมุนถ้วยอีกครั้งก่อนดื่มเพื่อแสดงความเคารพ ดื่มด้วยความสงบ และกล่าวขอบคุณอย่างสุภาพ
การจบพิธี: เก็บอุปกรณ์ด้วยความประณีต และกล่าวคำอำลาอย่างนุ่มนวล
พิธีชงชาไม่เร่งรีบ ไม่โอ่อ่า แต่เต็มไปด้วยรายละเอียดที่เชื่อมโยงใจระหว่างผู้ให้และผู้รับ — ทุกจังหวะของมือคือบทสนทนาไร้เสียงที่สะท้อนความงามของการอยู่กับปัจจุบันอย่างแท้จริง
เมื่อวัฒนธรรมการบริโภคมัทฉะเปิดกว้างมากขึ้นในยุคสมัยใหม่ ชาเขียวผงชนิดนี้ก็เริ่มก้าวข้ามจากวัดและพิธีกรรม เข้าสู่วงการของหวานญี่ปุ่นในหลากหลายรูปแบบ โดยไม่ได้เป็นเพียงส่วนผสม แต่กลายเป็นหัวใจของรสชาติที่สะท้อนรากวัฒนธรรมท้องถิ่นได้อย่างลึกซึ้ง
หนึ่งในขนมยอดนิยมคือ มัทฉะเค้ก โดยเฉพาะที่เกียวโต ซึ่งเป็นแหล่งผลิตมัทฉะชั้นดี ตัวเค้กมีเนื้อสัมผัสนุ่ม หวานน้อย กลิ่นหอมเข้มจากชาแท้ และมักเสิร์ฟพร้อมถั่วแดงหรือครีมสดเพื่อเสริมรสชาติให้กลมกล่อม
มัทฉะวาราบิโมจิ ซึ่งมีต้นกำเนิดจากภูมิภาคคันไซ เป็นวุ้นนิ่มทำจากแป้งรากวาราบิ เคลือบผงมัทฉะและโรยด้วยน้ำตาลทรายแดงหรือคุโรมิทสึ (น้ำเชื่อมดำ) ให้สัมผัสเย็นนุ่มและกลิ่นหอมสดชื่น เหมาะกับฤดูร้อน
จากคิวชูมี เยลลี่มัทฉะ หรือ "มัทฉะคันเท็น" วุ้นจากสาหร่ายคันเท็นที่ผสมมัทฉะเข้มข้น เสิร์ฟคู่ถั่วแดงกวนและน้ำเชื่อมดำ ให้ทั้งรสขม รสหวาน และเนื้อสัมผัสที่หลากหลายในคำเดียว
ฝั่งขนมสไตล์ตะวันตกก็มี มัทฉะชีสเค้ก ซึ่งเป็นที่นิยมทั้งในโตเกียวและฮอกไกโด โดยผสมมัทฉะลงในเนื้อครีมชีส ทำให้ได้รสขมกลมกล่อม ตัดกับความมันของชีส และมักถูกนำไปพัฒนาเป็นของฝากระดับพรีเมียม
ขนมพื้นบ้านที่ยังคงปรากฏมัทฉะอย่างสม่ำเสมอ เช่น:
มัทฉะโดรายากิ: แพนเค้กญี่ปุ่นประกบถั่วแดงกวน เพิ่มกลิ่นหอมและรสขมจากมัทฉะ
มัทฉะมุสุ: ขนมมูสรสมัทฉะที่ผสมกับครีมหรือไวท์ช็อกโกแลต ให้รสนุ่มลึกและซับซ้อน
มัทฉะมันจู: ขนมแป้งนึ่งสอดไส้ถั่วแดง หรือใช้มัทฉะผสมในแป้งด้านนอกเพื่อเพิ่มกลิ่นหอมขมเฉพาะตัว
และที่โดดเด่นที่สุดคือ ไอศกรีมรสมัทฉะ ซึ่งพบได้แทบทุกเมืองของญี่ปุ่น โดยเฉพาะในเกียวโต เมืองหลวงของมัทฉะ ที่ร้านขนมแต่ละแห่งต่างมีสูตรเฉพาะและระดับความเข้มข้นของมัทฉะให้เลือกหลากหลาย ตั้งแต่รสนุ่มละมุนไปจนถึงขมเข้มแบบชาแท้ไม่ประนีประนอม
คนญี่ปุ่นนิยมเปิดรับวัฒนธรรมจากต่างชาติ แล้วนำมาผสมผสานกับวัตถุดิบหรือความเชื่อดั้งเดิมของตนเองอย่างแนบเนียน กลายเป็นสิ่งใหม่ที่ยังสะท้อนความเป็นญี่ปุ่นไว้อย่างลึกซึ้ง แนวทางเช่นนี้เรียกว่า "วะโยเซชชู (Wayo Secchu)" ซึ่งหมายถึงการประสานระหว่างตะวันออกกับตะวันตกอย่างกลมกลืน โดยไม่ละทิ้งรากเหง้าของตัวเอง
การที่มัทฉะปรากฏอยู่ในขนมตะวันตก เช่น ไอศกรีม เค้ก มูส หรือชีสเค้ก จึงไม่ใช่เพียงการประยุกต์เพื่อให้ทันสมัย แต่คือวิธีที่คนญี่ปุ่นใช้เพื่ออนุรักษ์วัฒนธรรมผ่านรูปแบบใหม่ๆ ให้สอดคล้องกับยุคสมัย
มัทฉะไม่ใช่แค่ชาเขียว แต่คือแรงบันดาลใจที่หลอมรวมรสชาติและวัฒนธรรมเข้าไว้ด้วยกันในรูปแบบของขนมที่กินได้ และสะท้อนจิตวิญญาณของญี่ปุ่นอย่างลึกซึ้ง
ต้นกำเนิดของไอศกรีมมัทฉะในญี่ปุ่นสามารถย้อนไปถึงยุคโชวะตอนต้น (ประมาณทศวรรษ 1930–1950) โดยมีการทดลองทำไอศกรีมรสชาเขียวในร้านขนมพื้นบ้านและโรงงานผลิตไอศกรีมขนาดเล็กในเมืองเกียวโต ซึ่งอุจิ (Uji) จังหวัดเกียวโต ถือเป็นแหล่งปลูกและแปรรูปมัทฉะคุณภาพสูงมายาวนาน มัทฉะที่ใช้ในยุคนั้นมักมีกลิ่นขมและเข้ม แต่คนท้องถิ่นกลับคุ้นเคยและหลงใหลในเอกลักษณ์ของรสชาติแบบดั้งเดิม
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง การผลิตไอศกรีมในญี่ปุ่นเริ่มขยายตัวมากขึ้น และมัทฉะถูกนำมาใช้เป็นรสพื้นฐานหนึ่งในกลุ่มรสชาติแบบญี่ปุ่น (Wagashi flavor) ควบคู่กับถั่วแดง คินาโกะ และซากุระ แต่ยังจำกัดในวงแคบและยังไม่เป็นที่นิยมในเชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบ
ในช่วงปลายทศวรรษ 1990 แบรนด์ระดับนานาชาติอย่าง Haagen-Dazs ได้เปิดตัวไอศกรีมรสมัทฉะในญี่ปุ่น โดยใช้มัทฉะแท้คุณภาพสูงจากอุจิ (Uji) จังหวัดเกียวโต ซึ่งถือเป็นหนึ่งในแหล่งผลิตมัทฉะที่ได้รับการยอมรับมากที่สุด รสชาติที่เข้มข้น หอมขมสมดุล และไม่มีการแต่งกลิ่น ได้รับความสนใจจากผู้บริโภคทั้งชาวญี่ปุ่นและต่างชาติ และช่วยผลักดันให้มัทฉะกลายเป็นรสชาติระดับสากลในตลาดไอศกรีม
อย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่นเองก็มีแบรนด์ท้องถิ่นที่มีบทบาทสำคัญในการรักษาและต่อยอดรสชาติของมัทฉะเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น Itohkyuemon, Tsujiri หรือ Nanaya ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกไอศกรีมมัทฉะที่มีระดับความเข้มหลายเบอร์ให้เลือก และใช้มัทฉะแท้จากแหล่งปลูกชื่อดังแบบไม่ประนีประนอม ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า ความนิยมในมัทฉะไม่ได้เกิดจากแบรนด์เดียว แต่เกิดจากการเคลื่อนไหวร่วมกันของทั้งผู้ผลิตญี่ปุ่นและต่างชาติ ที่ให้ความเคารพต่อรากวัฒนธรรมและคุณภาพของวัตถุดิบดั้งเดิม
ดังนั้น แม้ Haagen-Dazs จะเป็นหนึ่งในจุดเร่งที่ทำให้โลกหันมามองมัทฉะในฐานะรสชาติพรีเมียม แต่ความแข็งแรงของมัทฉะในตลาดญี่ปุ่นนั้นวางรากมานาน และได้รับการสืบทอด พัฒนา และรักษาโดยคนญี่ปุ่นเองอย่างมั่นคง
นี่คือบทแรกของซีรีส์ 3 ตอนที่จะพาคุณไปรู้จักโลกของมัทฉะให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น — จากต้นกำเนิดและวัฒนธรรม (บทความนี้) สู่บทความถัดไปที่เราจะพาไปรู้จักกลิ่นรสของมัทฉะชื่อดังจากแหล่งต่างๆ ทั้งในญี่ปุ่นและไทย และบทสุดท้ายจะลงลึกถึงเทคนิคการทำไอศกรีมมัทฉะให้ได้รสแท้ กลิ่นหอม สีเขียวสวย และเนื้อสัมผัสละมุนแบบมืออาชีพ
โปรดติดตามตอนต่อไป แล้วคุณจะได้รู้ว่า มัทฉะ... คือวัฒนธรรมที่ดื่มได้ และเป็นแรงบันดาลใจในโลกของขนมและไอศกรีมที่ไม่มีวันจบสิ้น
หากคุณคือคนรักชา คนรักขนม หรือเจ้าของธุรกิจไอศกรีมที่อยากรู้จักมัทฉะแบบ “รู้จริง” — ติดตามบทความตอนต่อไปในซีรีส์มัทฉะ ที่เราจะพาคุณไปชิมรสและกลิ่นของมัทฉะจากแหล่งต่างๆ และสอนเทคนิคการทำไอศกรีมมัทฉะให้ได้รสแท้แบบมืออาชีพ
สอบถามหรือปรึกษาเรื่องการใช้มัทฉะในสูตรไอศกรีม ติดต่อเราได้เลย:
📲 LINE: @missicecream
🌐 เว็บไซต์: https://missicecream.com
☎️ โทร: 088-205-8205
หน้าที่เข้าชม | 1,154,554 ครั้ง |
เปิดร้าน | 25 มิ.ย. 2561 |
ร้านค้าอัพเดท | 5 ก.ย. 2568 |